วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองซ์ (Renaissance Architecture)


สถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองซ์ (Renaissance Architecture)

รูปแบบสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองซ์มีจุดกำเนิดที่เมืองฟลอเรนส์ (Florence) ในศตวรรษที่ 15 และได้แผ่ขยายไปทั่วยุโรปหลังจากนั้น โดยเข้าแทนที่สถาปัตยกรรมแบบโกธิค (Gothic) ของยุคกลางในช่วงปลายศตวรรษที่ 16

สถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองซ์เป็นการเกิดใหม่ของวัฒนธรรมยุคคลาสสิค มีการใช้รูปแบบดั้งเดิมของยุคโรมันมากมาย ซึ่งรวมถึงการใช้เสา (column) ซุ้มโค้ง (arch) เพดานโค้ง (vault) และหลังคาโดม (dome)

สถาปนิกยุคเรอเนสซองส์ศึกษาทฤษฎีและวิธีปฏิบัติของสถาปนิกในยุคโรมัน พวกเขาอ่านงานด้านสถาปัตยกรรมของสถาปนิกชาวโรมันชื่อวิทรูเวียส และสังเกตสิ่งก่อสร้างยุคโบราณทั้งในอิตาลี ฝรั่งเศส และสเปน เพื่อพัฒนาเป็นรูปแบบของตัวเอง 

ยุคคลาสสิคและสถาปัตยกรรมเรอเนสซองซ์ใช้แบบ (order) ซึ่งเป็นระบบขององค์ประกอบสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม เป็นรากฐานในการออกแบบ ในยุคเรอเนสซองซ์มีอยู่ 5 แบบด้วยกัน คือ แบบทัสแคน (Tuscan Order) แบบดอริค (Doric Order) แบบไอโอนิค (Ionic Order) แบบคอรินเธียน (Corinthian Order) และแบบคอมโพสิท (Composite Order) สถาปนิกในช่วงต้นยุคเรอเนสซองซ์นิยมใช้แบบคอรินเธียนมากที่สุด ขณะที่ความเรียบง่ายแต่แข็งแรงของแบบดอริกจะเป็นที่นิยมกว่าในช่วงที่ยุคเรอเนสซองส์เฟื่องฟูถึงขีดสุด (High Renaissance) 

สถาปนิกยุคเรอเนสซองส์มุ่งนำเสนอความงามผ่านความเป็นสัดส่วน (proportion) เช่นเดียวกับในยุคคลาสสิค คุณลักษณะข้อนี้ทำให้รูปแบบสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองซ์แตกต่างจากยุคโกธิค การให้ความสำคัญกับสัดส่วนนี้ยังนำไปสู่การวาดภาพแบบเพอร์สเป็คทีฟ (perspective) หรือการวาดภาพให้ดูมีความลึก ที่ถูกใช้ครั้งแรกโดยสถาปนิกชาวฟลอเรนส์ชื่อ ฟิลิโป บรูเนลเลสกี (Filippo Brunelleschi) 

บรูเนลเลสกีเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองซ์ยุคแรกๆ ในประเทศอิตาลี งานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือหลังคาโดมของวิหาร ซานตา มาเรีย เดล ฟิโอเร (Santa Maria del Fiore) ในเมืองฟลอเรนส์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดวาโม่ (Duomo) วิหารนี้ใช้เวลาก่อสร้างถึง 16 ปี 

ในช่วงแรกของการทำงาน บรูเนลเลสกีอาศัยในกรุงโรม วิหารแพนธิออนเป็นที่สนใจของเขามาก ทำให้เขาศึกษาด้านวิศวกรรมการก่อสร้างของโดมวิหารนี้ บรูเนลเลสกีประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้จากการศึกษาวิหารแพนธิออนในการก่อสร้างดวาโม่ด้วย เขาออกแบบให้โดมรับน้ำหนักได้ด้วยตัวเอง โดยใช้เครื่องมือชักรอกที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเพื่อโครงการนี้ บรูเนลเลสกี้ยังใช้เสาเพื่อรับน้ำหนักโครงสร้างด้วย แทนที่จะเป็นของประดับตกแต่งเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สมัยโรมัน

ลีออน บาติสตา อัลเบอร์ติ (Leon Battista Alberti) เป็นผู้มีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองส์อีกคนหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 15 หนังสือ 10 เล่มเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมของเขาได้กลายมาเป็นเหมือนคัมภีร์สำคัญในศาสตร์งานฝีมือด้านนี้ อัลเบอร์ติเป็นผู้ออกแบบฟาสาด (façade) ด้านหน้าของโบสถ์ ซานต้า มาเรีย โนเวลลา (Santa Maria Novella) ในเมืองฟลอเรนส์ จุดเด่นของฟาสาดนี้คือความได้สัดส่วนและการวัดที่สมบูรณ์แบบ 

ช่วงต้นศตวรรษที่ 16 เป็นช่วงการพัฒนาสถาปัตยกรรมแบบ High Renaissance ซึ่งให้ความสำคัญกับความชัดเจน (clarity) ความกลมกลืน (harmony) และความสงบเงียบ (repose) 

โดนาโต บรามันติ (Donato Bramante) ริเริ่มใช้สถาปัตยกรรมรูปแบบนี้ในงานออกแบบอย่างโบสถ์ Sant’ Ambrogio และโบสถ์ Santa Maria delle Grazie ซึ่งอยู่ในเมืองมิลานทั้งสองที่ ส่วน Tempietto at San Pietro Montorio งานชิ้นเอกในกรุงโรมชิ้นแรกของเขา มีลักษณะเป็นสิ่งก่อสร้างรูปโดมทรงกลม ที่มีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมในยุคคลาสสิค

นอกจากนี้ บรามันติ ยังเป็นสถาปนิกคนแรกของวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter Basilica) ในกรุงโรมด้วย จนเมื่อเขาเสียชีวิตลงในปี 1514 

ช่วงปลายยุคเรอเนสซองซ์ (Late Renaissance) หรือที่เรียกอีกอย่างว่าช่วงยุคจริตนิยม (Mannerism) ของอิตาลีเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1520 ไปจนถึงสิ้นสุดศตวรรษที่ 16 สถาปัตยกรรมในยุคนี้จะสังเกตได้จากลักษณะที่มีความละเมียดละไม (sophistication) มีความซับซ้อน (complexity) และแปลกใหม่ (novelty) ซึ่งขัดกับหลักการของยุค High Renaissance อย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างของงานในช่วงยุคจริตนิยมคือ ห้องสมุดลอเรนเชียน (Laurentian Library) ในเมืองฟลอเรนส์ ซึ่งเป็นงานของ ไมเคิลแอนเจลโล (Michelangelo) และ Palazzo del Te ของ จูลิโอ รามาโน (Giulio Romano) สิ่งก่อสร้างเหล่านี้แหกกฎเดิมๆอย่างจงใจ และเพิ่มความซับซ้อนให้กับงานสถาปัตยกรรมแบบยุคคลาสสิค
ยุโรปสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ 
 ผลจากสงครามครูเสด ทำให้สังคมยุโรปเปลี่ยนแปลงไป  วัฒนธรรมเปิดใหม่  ผู้คนเริ่มสนใจในความเป็นมนุษย์มากกว่าพระเจ้า  การค้าทำให้ชนชั้นกลางเริ่มมีฐานะ  อำนาจของขุนนางและจักรพรรดิ์ลดถอยลงไป คนเริ่มสนใจในตำราความรู้ดั้งเดิม จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ การ ฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) มาจากภาษาฝรั่งเศส หมายถึงการเกิดใหม่ Re-birth ของการศึกษา การฟื้นฟูอุดมคติ ศิลปะและวรรณกรรมของกรีกและโรมัน เป็นยุคเริ่มต้นของการแสวงหาสิทธิเสรีภาพและความคิดอันไร้ขอบเขตของมนุษย์ ของมนุษย์ที่เคยถูกจำกัดโดยกฎเกณฑ์และข้อบังคับของคริสต์ศาสนา
ยุคการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการเริ่มต้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 และสิ้นสุดลงในกึ่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยถือว่าเป็นจุดเชื่อมต่อของประวัติศาสตร์สมัยกลางและสมัยใหม่ 
ยุค เรเนซองส์ (Renaissance) อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 14-15 เป็นยุคฟุ่มเฟือยที่สุด หรูหราที่สุด กามารมณ์ที่สุด เป็นชื่อช่วงเวลาหรือยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยาการในยุโรป หลังจากที่ได้ผ่านยุคกลางหรือยุคมืด ( Medieval Age ) ซึ่งกินระยะเวลายาวนานกว่า 1000 ปี ตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 5 ถึง 15
  • การรุ่งเรืองและล่มสลายของอาณาจักรโรมัน
  • การเสื่อมของโรมและการเติบโตของคอนสแตนติโนเปิล
  • การแผ่ขยายอำนาจของอาณาจักรออตโตมัน (มุสลิม - เติร์ก)
  • สงครามครูเสดระหว่างคริสต์และมุสลิมเพื่อแย่งชิงแผ่นดิน ศักดิ์สิทธิ์
  • สงครามหนึ่งร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส
  • นักบุญ Jon of Arc, ความศรัทธาในศาสนาอย่างแรงกล้า

อำนาจที่มากขึ้นของฝ่ายศาสนจักร เรอเนซองส์ จึงเหมือนกับการกลับมาเกิดใหม่ของศิลปะ และหรือ ยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยา การในยุโรป
ชาว อิตาลี เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาศิลปะการประดิษฐ์ดอกไม้ ไฟขึ้นดอกไม้ไฟรูปแบบใหม่ ๆ ถือเป็นที่เกิดขึ้นในยุคนี้โดยมีการดัดแปลงเพิ่มโลหะกับถ่านไปในส่วนผสมที่ ใช้ทำจรวดซึ่งเมื่อปล่อยขึ้นฟ้าก็จะเปล่งประกายแสง
  แนวคิดเรื่องมนุษย์นิยมที่เปลี่ยนไป
วัฒนธรรม ของยุคโบราณเช่นกรีก รวมถึงทัศนะมนุษยนิยมซึ่งต่างจากในยุคกลางที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของ ชีวิต นั่นคือ การกลับมาเน้นเรื่องของ ปัจเจกนิยม มนุษย์ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงสามารถแสวงหาความสุขให้กับชีวิตบนโลกนี้ได้ 
การ มองโลก แบบนี้ทำให้เกิดเสรีภาพใหม่ในการพัฒนาตนเอง มีการพัฒนาการในเรื่องของ ศิลปะและสถาปัตยกรรม, วรรณคดี, ดนตรี, ปรัชญา, และวิทยาศาสตร์

การปฏิรูปคริสตศาสนา
มีการท้าทายอำนาจของศาสนจักรเพราะเริ่มมีทัศนะใหม่ที่ว่าความสัมพันธ์ ระหว่าง ปัจเจกกับพระเจ้ากลับมีความสำคัญมากกว่าความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์กับคริสตจักร ในฐานะที่เป็นองค์กร บุคคลสำคัญในเรื่องนี้คือ มาร์ติน ลูเธอร์

เมื่อ มาร์ติน ลูเธอร์ สงสัยในศาสนจักร จากการที่องค์สันตะปาปา ขายใบไถ่บาปเพื่อนำเงินไปสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ที่โรม นั่นหมายความว่า "ใครมีเงินก็เข้าสู่สวรรค์ได้" เขาจึงประท้วง (Protest) ศาสนจักรโดยติดใบประท้วงตามโบสถ์ต่างๆ อันเป็นที่มาของ นิกายโปรเตสแตนต์ สันตะปาปาตอบโต้ทันที  ออกคำสั่ง "บัพชนียกรรม"  ทำให้ลูเธอร์ต้องหนีไปเยอรมัน  โชคดีกษัตริย์เยอรมันยอมรับแนวคิดของเขา จึงได้อุปการะไว้  ดังนั้นเขาจึงได้ตั้งนิกายใหม่โดยไม่ขึ้นกับโรมอีกต่อไป

มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์  
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ 
มีการพัฒนาการพิมพ์ขึ้นในประเทศเยอรมนีโดย โยฮันน์ กูเทนแบร์ก เป็นผู้ผลิตนวัตกรรม เครื่องพิมพ์ ขึ้นมาเป็นครั้งแรกของโลก เมื่อ ค.ศ.1447 ทำให้เกิดการเผยแพร่ความรู้ แทนการเขียนได้อย่างกว้างขวาง เมื่อข่าวสารสามารถแพร่หลาย ทำให้มนุษย์เริ่มเชื่อมั่นในสติปัญญา และแสวงหาความรู้เพิ่มเติมได้อย่างไร้ขีดจำกัด การพิมพ์ได้เริ่มมีการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างจริงจัง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา




การปฏิวัติอุตสาหกรรม
  • เริ่มแรกที่อังกฤษ ราวคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้แก่เกษตรกรรม โดยการปิดล้อมรั้วที่นา กำเนิดธนาคารกลาง เป็นแห่งแรก
  • การผลิตเครื่องปั่นด้าย สปินนิงเจนนี่ ทำให้ทุ่นเวลาการผลิต มีผลให้ราคาผ้าฝ้ายลดลง อุตสาหกรรมการทอผ้าขยายตัว
  • เจมส์ วัตต์ ค.ศ.1769 ผลิตเครื่องจักรไอน้ำ มาใช้งานด้วย ทำให้อุตสาหกรรมถลุงเหล็กก้าวหน้าไปอย่างมาก
  • จุดเปลี่ยนการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป คือ เมื่ออังกฤษผลิตรถไฟขึ้นเป็นสายแรก แ่ละกระจายไปทั่วประเทศ ทำให้การขนส่งสินค้าสะดวกขึ้น นำความเจริญจากเมืองสู่ชนบท ทำให้ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปตื่นตัวกันมาก และหันมาสนใจอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง

   นักวิทยาศาสตร์ 
  • นิโคลัส โคเพอร์นิคัส - โปแลนด์ ค.ศ. 1473-1543 อธิบายทฤษฎีระบบสุริยะจักรวาล  โลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล  แต่โลกเป็นบริวารและหมุนรอบดวงอาทิตย์ แนวคิดนี้ทำให้ขัดแย้งกับความเชื่อดั้งเดิม และความเชื่อของศาสนจักร
  • กาลิเลโอ - อิตาลี ค.ศ.1564-1642 ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ ทำให้มองเห็นผิวดวงจันทร์ จุดดับบนดวงอาทิตย์
  • ไอแซก นิวตัน - อังกฤษ ค.ศ.1642-1727 ค้นพบแรงดึงดูดของจักรวาล แรงโน้มถ่วงของโลก

    ศิลปะกรรม-วรรณกรรม

    ยุค กลาง   เน้นในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์  ความเป็นศูนย์กลางของชีวิต  สวรรค์  พระเจ้า
     
    ยุคฟื้นฟูฯ    เป็นงานที่เพื่อตอบสนองต่ออารมณ์และความรู้สึกของศิลปินและผู้ชมงานมากขึ้น และขยายขอบเขตออกไปอย่างกว้างขวางทั้งประติมากรรม จิตรกรรม และสถาปัตยกรรม
     
    การใช้วิธีและรูปแบบใหม่ในการวาดภาพ เช่น เรื่องของ perspective, เน้นกายวิภาคที่เป็นจริงมากขึ้น

    เดอะวิทรูเวียนแมน - ลีโอนาโด ดาวินชี

    ใน ยุคเดียวกันนี้ก็เริ่มเป็นยุคเสื่อมของ อาณาจักรเขมร หลังจากพระเจ้าชัยวรมัน ที่ 7 ผู้สร้างนครธม สิ้นพระชนม์ และการเติบโตขึ้นของอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยา จนในต้นศตวรรษที่ 15 อาณาจักรเขมรก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอยุธยาโดยสิ้นเชิง
     

     
    สถาปัตยกรรม

    สร้างวิหารเซนต์ปิเตอร์ และวิหารเซนต์ปอล

     
     
    ประติมากรรม

    ที่ โดดเด่น ได้แก่ ผลงานของไมเคิล แองเจลโล คือ
    รูปสลัก เดวิด : รูปชายหนุ่มเปลือยกาย ,
    รูปสลัก ลาปิเอตา : รูปพระแม่ประครองพระเยซู


    จิตรกรรม
     
     
    เริ่ม มีการเขียนภาพสามมิติ ( Perspective )
     
    ศิลปินและภาพวาดที่สำคัญได้แก่ ผลงานของ

    1. ไมเคิล แองเจลโล ได้แก่ ภาพ “การตัดสินครั้งสุดท้าย” ( The last judgement )
     
    2. ลีโอนาโด ดาวินชี ได้แก่ ภาพ “โมนาลิซา ” และ “อาหารมื้อสุดท้าย” (The last supper)
     
     
     
    3. ราฟาเอล ได้แก่ ภาพพระแม่ พระบุตรและจอห์น แบบติสต์ แสดงความรักต่อแม่ที่มีต่อบุตร เป็นภาพเหมือนจริงที่มีชีวิตจิตใจ


    วรรณกรรม

    1. เน้นแนวมนุษยนิยม ใช้ภาษาท้องถิ่นแทนภาษาละติน
     
    2. วรรณกรรม สำคัญ ได้แก่

    • เจ้าผู้ครองนคร ( The prince ) ของ นิโคไล มาเคียเวลลี บรรยายถึงศิลปะการปกครองของเจ้านคร
    • Utopia ของ โทมัสมอร์ กล่าวถึงเมืองในอุดมคติที่ปราศจากความเลวร้าย
    • คัมภีร์ ไบเบิลใหม่ของ อีรัสมุส แห่งรอตเตอร์ดัม
    • บทละครของ วิลเลี่ยม เชกสเปียร์ ได้แก่ โรมีโอและจูเลียต เวนิสวาณิช คิงเลียร์ แมคเบท ฝันคืนกลางฤดูร้อน เป็นต้น ซึ่งบทละครเหล่านี้จะสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ อุปนิสัย และการตัดสินใจของมนุษย์ในภาวการณ์ต่างๆกัน
     
     
    ปรัชญาแนวคิดสำคัญ 

    มนุษย์นิยม ธรรมชาตินิยม รวมกับแนวคิดของศาสนาตริสต์

     
     
    นักปราชญ์

    • โทมัส ฮอบ - เชื่อว่ามนุษย์ต้องเชื่อเหตุผลและวิทยาศาสตร์ สนับสนุนระบบกษัตริย์
    • จอห์น ล็อค - มีอิทธิพลต่อแนวคิดประชาธิปไตยสมัยใหม่ เชื่อว่าประชาชนเป็นที่มาของอำนาจทางการเมืองและจัดตั้งรัฐบาล

    • มอง เตสกิเออร์ - มีแนวคิดเรื่องกฎหมายของแต่ละสังคมที่บัญญัติขึ้นอยู่่กับแต่ละสภาพของท้อง ถิ่นนั้น ๆ และอำนาจการปกครองต้องมี 3 ฝ่าย คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
    • วอลแตร์ คัดค้านระบบการปกครองแบบเผด็จการ (กษัตริย์) การใช้สติปัญญาและเหตุผลสามารถแก้ไขปัญหาสังคม และการเมืองได้
    • รุสโซ - เรียกร้องให้ปฏิรูปความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินปัญหาต่าง ๆ ร่วมกัน


      ลัทธิจักรวรรดินิยม
       
      การค้นพบโลกใหม่ และการสำรวจทางทะเล
       
      ผลจากการค้นคิดทางวิทยาศาสตร์  ทำให้เกิดความที่จะสำรวจดินแดนใหม่ นอกเหนือจากทวีปยุโรป
      โปรตุเกส เป็นชาติแรกที่ทำสำเร็จ โดยการสนับสนุนของกษัตริย์ผู้นำประเทศยุคนั้น
       
      ปี 1488  บาร์โธโลมิว ไดแอส -  สามารถเดินทางไปยังแหลมกู๊ดโฮป เป็นผลสำเร็จ
      ปี 1498  วาสโก ดา กามา - เดินทางไปจนถึงฝั่งกัลกัตตา ประเทศอินเดีย
       
      ต่อมาเป็น สเปน
       
      ปี 1492  คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (อิตาลี) - ได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์สเปน เขามีความเชื่อว่าโลกกลม จึงออกเดินเรือไปทางตะวันตกโดยตั้งใจจะไปประเทศจีน  แต่ได้ค้นพบดินแดนใหม่ "ทวีปอเมริกา"  เสียก่อน ทำให้สเปนได้ดินแดนส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหาศาล
       ขณะเดียวกัน การช่วงชิงอาณาเขตนอกยุโรปเป็นไปอย่างรุนแรง โดยมีโปรตุเกส เข้าร่วมด้วยกับสเปนจนต้องมีการทำสนธิสัญญาแบ่งสิทธิการยึดครองกัน ปี 1519 เฟอร์ดินันด์ แมคเจลลัน - ชาวโปรตุเกส  สามารถเดินเรืออ้อมทวีปอเมริกาใต้ ผ่านมหาสมุทธแปซิฟิค และได้พบกับเกาะฟิลิปปินส์  เขาตายเสียก่อนที่ฟิลิปปินส์แต่ลูกเรือเขาสามารถสร้างประวัติศาสตร์  เดินทางต่อไปรอบโลกเป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ในปี 1522


      ปี 1605 เรือดุฟเกน ของฮอลแลนด์ - เดินทางไปทางตอนใต้ของเกาะชวา และได้ค้นพบทวีปใหม่"ออสเตรเลีย" สมัยนั้นถูกตั้งชื่อว่า "นิวฮอลแลนด์"  แต่สุดท้ายก็ถูกอังกฤษที่มาทีหลังยึดครองไป
       
       
      ปี 1588  อังกฤษ ไปขยายอิทธิพลทางทะเล แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้บุกเบิกการสำรวจ  แต่ก็สามารถช่วงชิงอำนาจในการแสวงหาอาณานิคมภาคพื้นทะเลได้จากสเปน และฮอลแลนด์   โดยเฉพาะศตวรรษที่ 18 อังกฤษสามารถได้ชาติอาณานิคมมากกว่าใครในโลก  จนถูกขนานนามว่าเป็น "ดินแดนที่ดวงอาทิตย์ไม่ตกดิน"
       


      ที่มา
      http://social-ave.exteen.com/20110209/entry-1



    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น