วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทัวร์อิตาลี



ประเทศอิตาลี
ประเทศอิตาลี
ประวัติศาสตร์ประเทศ อิตาลี

1. ยุคต้น
อิตาลีตั้งอยู่บนคาบสมุทรที่ยื่นออกไปจากทวีปยุโรปตอนล่าง มีรูปร่างคล้ายรองเท้าบู๊ตที่ตั้งท่าจะเตะชิชิลีไปทางตะวันตกชัยภูมิ เช่นนี้เองที่ผลักดันให้อิตาลีกลายเป็นอู่อารยธรรมในยุคต้นๆ โดยทางตอนบนมีเทือกเขาแอลป์ ทำหน้าที่เป็นปราการขวางกั้นพวกอนารยชนในเขตยุโรปเหนือไว้ อีกสามด้านที่เหลือมีทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทำหน้าที่เป็นเส้นทางรับอารยธรรมต่างๆ เข้ามาหลอม รวมก่อนส่งออกเผยแพร่เป็นลำดับต่อไป
แผ่นดินอิตาลีแบ่งออกเป็นสองเขต คือเขตภาคพื้นทวีปทางตอนเหนือกับเขตคาบสมุทรทางตอนใต้ รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 250,000 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ทางตอนบนเป็นที่ราบ มีเทือกเขาแอลป์โอบล้อมอยู่ทางทิศเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศใต้ติดเทือกเขาอัพเพนไนน์ เมื่อครั้งบรรพกาล ที่ราบผืนนี้เคยเป็นอ่าวริมทะเลอาเดรียติก มีแม่น้ำโป อาดีเจ และแม่น้ำอื่นๆ พัดพาดินตะกอนอันอุดมไปด้วยธาตุไนเตรทมากองทับถมกัน ครั้งนานเข้าจึงกลายเป็นที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศ

2. ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคจักรวรรดิโรมัน

คาบสมุทรอิตาลีมีมนุษย์อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่า ดินแดนลุ่มแม่น้ำไทเบอร์เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลตั้งแต่เมื่อประมาณ 5 หมื่นปีที่แล้ว และด้วยอิตาลีนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งมีอารยธรรมโบราณกล่าวคือ อารยธรรมมิโนอันและไมซีเนียน อารยธรรมที่เกี่ยวพันกับอารยธรรมกรีกโบราณ อิตาลีเป็นประเทศที่มีอารยธรรมมาช้านานและแผ่ขยายดินแดนอื่น ๆ ในทวีปยุโรป

ในช่วง 1,600 ปีก่อนคริตศักราช พวกอีทรัสคัน จากเอเชียไมเนอร์ก็ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เป็นแคว้นทัสกานีในปัจจุบัน พร้อมกับนำอารยธรรมกรีกเข้ามาเผยแพร่ ส่วนพวกกรีกเองก็ได้เดินทางมาตั้งอาณานิคมชื่อว่า “แมกนากราเซีย” (อิตาลี: Magna Graecia) ในตอนใต้ของอิตาลีใน 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณตั้งแต่เมืองเนเปิลส์จนถึงเกาะซิซิลี

ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช พวกอีทรัสคันได้มีอำนาจปกครองดินแดนตั้งแต่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิตาลีตั้งแต่หุบเขาโป จนถึงบริเวณเมืองนาโปลี และดินแดนรอบ ๆ กรุงโรม ขณะเดียวกันชนเผ่าอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีก็รวมตัวกันจัดตั้งเป็นนครรัฐขึ้น เพื่อต่อต้านการขยายตัวและอำนาจของพวกอีทรัสคัน และกรีก ชนเผ่าที่สำคัญในการต่อต้านอำนาจเหล่านี้ได้แก่พวกละติน หรือโรมัน ซึ่งเมื่อถึง 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกละตินก็ได้มีอำนาจเหนือดินแดนอิตาลี เกาะซาร์ดิเนียและซิซิลี ทั้งหมดแล้ว

ใน 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช โรมได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นระบอบจักรวรรดิ โดยมีจักรพรรดิออกเตเวียน เป็นจักรพรรดิพระองค์แรก นครหลวงแห่งนี้ได้เจริญถึงขีดสุดและสามารถขยายอำนาจปกครองอิทธิพลไปทั่วทั้งยุโรป และบริเวณรายรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการค้าและความเจริญในด้านวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ แทนอารยธรรมกรีกที่เสื่อมถอยลง ระหว่างปี ค.ศ. 96 – 180 เป็นช่วงระยะเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองของจักรพรรดิที่ปกครอง 5 พระองค์ แต่หลังจากนั้น โรมต้องประสบปัญหาทั้งในทุก ๆ ด้าน รวมไปถึงการรุกรานของพวกอนารยชน รวมทั้งการเสื่อมโทรมทางศีลธรรมจรรยา ใน ค.ศ. 312 จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงยอมรับคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งมีผลให้คริสต์ศาสนามีโอกาสได้เผยแพร่ไปทั่วดินแดนที่อยู่ใต้อาณัติของโรม และทรงแบ่งจักรวรรดิโรมันออกเป็นสองส่วน คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก และจักรวรรดิไบแซนไทน์

ในคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 5 จักรวรรดิโรมันตะวันตกและกรุงโรมได้ถูกพวกอนารยชนชาวเยอรมันเข้าปล้นสะดม ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 476 จักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้ายก็ถูกพวกอนารยชนขับออกจากบัลลังก์ คาบสมุทรอิตาลีถูกแบ่งออกเป็นนครรัฐทั้งหลายซึ่งมีอิสระต่อกันกว่า 14 รัฐ
3. ยุคกลาง
ในช่วงต้นของยุคกลาง ดินแดนต่าง ๆ ในยุโรปได้ตกอยู่ในสภาวะระส่ำระส่ายที่บ้านเมืองขาดผู้นำ ระบบการเมือง เศรษฐกิจและสังคมถูกทำลาย แต่ในขณะเดียวกันบิชอบแห่งโรม ก็ได้สามารถสถาปนาอำนาจสูงสุดในคริสตจักรซึ่งต่อมาคือ“สันตะปาปา” และสามารถจัดตั้งรัฐสันตะปาปา อีกทั้งยังเป็นผู้สืบทอดอารยธรรมโรมันที่ยังหลงเหลือให้คงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ดี แม้นครรัฐต่าง ๆ ในคาบสมุทรอิตาลีจะขาดเอกภาพทางการเมือง แต่นครรัฐเหล่านั้นยังเป็นศูนย์กลางของความเจริญมั่งคั่งและการฟื้นตัวของศิลปะและวัฒนธรรมของยุโรป

ในกลางคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 14 อิตาลีได้ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูศิลปวิทยาการของอารยธรรมกรีกและโรมัน โดยเรียกว่า ยุคเรอเนซองส์ และเป็นผู้นำของลัทธิมนุษยนิยม ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปยังตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบศักดินา แต่เมื่อเข้าปลายคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 15 อิตาลีได้ตกเป็นสมรภูมิแย่งชิงอำนาจระหว่างฝรั่งเศส สเปน และออสเตรีย กล่าวคือ เมื่อปี ค.ศ. 1494 พระเจ้าชาร์ลที่ 8 แห่งฝรั่งเศสได้เปิดการโจมตีคาบสมุทร ซึ่งได้ดำเนินเรื่อยมาถึงกลางคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 16 และการโจมตีเพื่อแย่งการเป็นเจ้า ระหว่างฝรั่งเศสและสเปน ราชอาณาจักรอิตาลี (ค.ศ. 1861-1946)

ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีการชุมนุมของขบวนการชาตินิยม เพื่อต้องการรวมอิตาลีจนเป็นผลสำเร็จ โดยการนำของพระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอลที่ 2 นับแต่นั้นมา อิตาลีจึงอยู่ภายใต้การปกครองระบอบกษัตริย์ เรื่อยมาจนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอิตาลี เมื่อมีการประกาศยกเลิกความเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีและจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จนได้รับสมญานามว่าเป็น 1 ใน 4 มหาอำนาจ (The Big Four) ต่อมาสงครามได้ยุติลงด้วยชัยชนะของสัมพันธมิตร อิตาลีจึงได้ดินแดนบางส่วนของออสเตรียมาครอบครอง

ต่อมาในปี ค.ศ. 1922 ระบบเผด็จการฟาสซิสต์ ถูกนำมาใช้ในประเทศอิตาลีกว่า 20 ปี โดยการนำของเบนิโต มุสโสลินี ถึงแม้ว่าจะมีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ก็เป็นเพียงในนามเท่านั้น จนกระทั่งเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง อิตาลีเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรยึดเกาะซิซิลีได้ มุสโสลินีจึงถูกปลดออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งปีเอโตร บาโดลโย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน และประกาศสงครามกับนาซีเยอรมนี จนได้รับชัยชนะ โดยมุสโสลินีถูกกลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์จับกุม และถูกสังหารที่เมืองมิลาน
4. สาธารณรัฐอิตาลี
เเบนิโต มุสโสลินี (ซ้าย) กับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (ขวา) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ราชอาณาจักรอิตาลี (ค.ศ. 1861-1946)
ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีการชุมนุมของขบวนการชาตินิยม เพื่อต้องการรวมอิตาลีจนเป็นผลสำเร็จ โดยการนำของพระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอลที่ 2 นับแต่นั้นมา อิตาลีจึงอยู่ภายใต้การปกครองระบอบกษัตริย์ เรื่อยมาจนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอิตาลี เมื่อมีการประกาศยกเลิกความเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีและจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จนได้รับสมญานามว่าเป็น 1 ใน 4 มหาอำนาจ (The Big Four) ต่อมาสงครามได้ยุติลงด้วยชัยชนะของสัมพันธมิตร อิตาลีจึงได้ดินแดนบางส่วนของออสเตรียมาครอบครอง 
ต่อมาในปี ค.ศ. 1922 ระบบเผด็จการฟาสซิสต์ ถูกนำมาใช้ในประเทศอิตาลีกว่า 20 ปี โดยการนำของเบนิโต มุสโสลินี ถึงแม้ว่าจะมีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ก็เป็นเพียงในนามเท่านั้น จนกระทั่งเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง อิตาลีเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรยึดเกาะซิซิลีได้ มุสโสลินีจึงถูกปลดออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งเพโตร บาดาจิโอ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน และประกาศสงครามกับนาซีเยอรมนี จนได้รับชัยชนะ โดยมุสโสลินีถูกกลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์จับกุม และถูกสังหารที่เมืองมิลาน 
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง สิ้นสุดลง อิตาลียังคงมีพระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอลที่ 3 เป็นประมุขอยู่ ต่อมาพระองค์สละราชสมบัติให้กับพระเจ้าฮัมเบิร์ตที่ 2 ขึ้นครองราชย์แทน แต่ครองราชย์ได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ประชาชนต่างลงประชามติให้อิตาลีเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบกษัตริย์มาเป็นระบบสาธารณรัฐในระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1946 โดยมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1948 จนถึงปัจจุบัน


แนวสันเขาบนคาบสมุทร
เทือกเขาอัพเพนไนน์ที่ได้ชื่อว่าเป็นกระดูกสันหลังชองอิตาลีนั้นทอดตัวคดเคี้ยวจากเทือกเขาแอลป์ในฝรั่งเศสลงมายังชายฝั่งลิกูเรียทางตะวันตกเฉียงเหนือ ผ่านแคว้นทัสคานีตอนบนลงมาสุ่ชายฝั่งอาเดรียติกทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนวกกลับมายังช่องแคบเมสซีนาทางทิศตะวันตก มียอดเขาที่สูงที่สุดตั้งอยู่ ณ ใจกลางแคว้นอาบรุซโซ ชื่อ กรันซัสโซดิตาเลีย สุง 2,912 เมตร

ชุมชนในยุคต้นถือกำเนิดขึ้นทางตะวันตก บนที่ราบลุ่มทางตอนเหนือและใต้ของกรุงโรม เพราะเขตนี้มีอ่าวธรรมชาติกับแม่น้ำใหญ่หลายสาย อาทิ ไทเบอร์ อาร์โนลีวี และโวลตูร์โน ซึ่งล้วนแล้วแต่ใช้เรือเล็กสัญจรไปมาได้ หุบเขาต่างๆก็เป็นช่องทางให้เขตชายฝั่งกับพื้นที่ทางตอนในติดต่อถึงกันได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ที่ราบทัสคานี ลาติอุม และคัมปาเนียยังเป็นเขตกสิกรรมที่อุดมสมบูรณ์ เพราะมีเถ้าลาวาซึ่งเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟกองทับถมกันอยู่หลายชั้น

เมื่อราว 200,000 ปีก่อน แหลมอิตาลีเคยเป็นที่อยู่ของพวกมนุษย์ถ้ำ ต่อมา พวกวิลลาโนวาซึ่งเป็นชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียนจากยุโรปกลางและเอเซียจึงได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานกันในช่วง 2000-1200 ปีก่อนคริสตกาล โดยปลูกกระท่อมทรงกลมรวมกันอยู่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ทำอาชีพกสิกรรม รู้จักประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้จากเหล็ก ประกอบพิธีศพด้วยการเผา แล้วเก็บอัฐิไว้ในโกศทรงสูง ที่ทำจากดินเหนียวหรือสำริด ไม่นาน วัฒนธรรมของพวกเขาก็ขยายกว้างจากโบโลญญาลงไปสู่ทัสคานี และลาติอุมทางตอนใต้ แต่ไม่เคยพัฒนาขึ้นไปถึงขั้นวัฒนธรรมเมือง ด้านศิลปะก็ไม่มีอะไรโดดเด่น

ผู้เปลี่ยนอิตาลีจากแดนป่าล้าหลังให้เป็นศูนย์กลางของโลกยุคโบราณคือชาวกรีกกับชาวอีทรุสกัน ผู้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งใหม่ และได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งอารยธรรมลงบนคาบสมุทรแห่งนี้ในต้นศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล

ชาวกรีกเข้ามาตั้งอาณานิคมอยู่บนเกาะซิชิลีและชายฝั่งตะวันตก ใกล้เมืองเนเปิลส์ ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่ออกมาหาที่ดินสำหรับทำการเพาะปลูก ที่เหลือเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองซึ่งหนีตายออกมาหลังจากที่กษัตริย์ของตนถูกล้มล้าง

เมื่อมาถึงอิตาลี ชาวกรีกได้ก่อตั้งนครรัฐอิสระขึ้นโดยมีสายสัมพันธ์หลวมๆ กับเมืองแม่บนกรีซแผ่นดินใหญ่ เมืองคูมีที่ริมอ่าวเนเปิลส์เป็นหนึ่งในอาณานิคมที่เก่าแก่ที่สุด ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 770 ปีก่อนคริสตกาลโดยชาวกรีกจากเกาะยูเบีย สองสามปีต่อมามีอาณานิคมถือกำเนิดขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ใช้ชื่อว่ารีจัน (เร็จโจ ดิ กาลาเบรีย) ส่วนเมืองไซราคิวส์บนเกาะซิชิลีนั้น เป็นอาณานิคมที่เรืองอำนาจสูงสุดในสมัยโครินเธียน ชาวอาณานิคมเหล่านี้ทำการเพาะปลูกและค้าขายกับกรีซแผ่นดินใหญ่จนมีฐานะมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ พวกเขามีบทบาทอันสำคัญยิ่งต่อพัฒนาการทางด้านการเกษตรบนคาบสมุทรอิตาลี


ลักษณะภูมิประเทศของประเทศอิตาลี
สาธารณรัฐอิตาลี ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอิตาลี ถูกล้อมรอบด้วยทะเลในทุกๆด้านยกเว้นด้านเหนือ อาณาจักรด้านเหนือติดต่อกับประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรีย โดยมีเทือกเขาแอลป์กั้นแบ่ง โดยในเทือกเขามีภูมิเขาที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป คือ ภูเขามอนต์ บรานซ์ (อิตาลี : Mote Bianco) ตั้งอยู่ในสาธารณรัฐอิตาลี เทือกเขาที่สำคัญอีกอัน คือ เทือกเขาแอพเพนไนน์ (อิตาลี : Appennini ) พาดผ่านตอนกลาง และตอนใต้ของประเทศ มีแม่น้ำที่ยาวที่สุดในอิตาลี คือ แม่น้ำโป (Po) และแม่น้ำไทเบอร์ ที่ไหลผ่านกรุงโรม อิตาลีมีดินแดนที่ราบลุ่มริมแม่น้ำราว 25 เปอร์เซ็นของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยที่ราบลุ่มแม่น้ำโป ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นบริเวณพื้นที่ราบที่กว้างใหญ่ที่สุด อิตาลีมีเกาะมากมาย แต่เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ เกาะซิซิลี และ ซาร์เดนญา สามารถเดินทางได้โดยเรือ และเครื่องบิน
ทางตอนเหนือของสาธารรัฐอิตาลี มีทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่มากมาย เช่น ทะเลสาบการ์ดา โกโม แมกกิโอเร และทะเลสาบอีเซโอ เนื่องจากสาธารณรัฐอิตาลีถูกล้อมรอบด้วยทะเล ดังนั้นจึงมีชายฝั่งทะเลยาวหลายพันกิโลเมตร
เมืองหลวงของสาธารณรัฐอิตาลี คือ กรุงโรม และเมืองสำคัญอื่นๆ เช่น เมือง มิลาน ตูริน ฟลอเรนซ์ เนเปิลส์ และเวนิซ และภายในสาธารณรัฐอิตาลี ยังมีประเทศแทรกอยู่ 2 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐซานมารีโน และนครรัฐวาติกัน
ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของประเทศ คือ ปรอท โพแทช (โพแทสเซียม คาร์บอเนต) หินอ่อน กำมะถัน แก๊สธรรมชาติ น้ำมันดิบ ปลา และถ่านหิน
อิตาลีมีปัญหาด้านสภาพแวดล้อม เช่น มลภาวะเป็นพิษจากอุตสาหกรรม และการสันดาป ชายฝั่งแม่น้ำเน่าเสียจากอุตสาหกรรม และสารตกค้างจากการเกษตร ฝนกรด การขาดการดูแลบำบัดของเสียจากอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอ และปัญหาด้านภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ดินและโคลนถล่ม ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม รวมถึงปัญหาแผ่นดินทรุดตัวในเวนิส

ลักษณะของศิลปวัฒนธรรมของประเทศอิตาลี
1. สถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองซ์ (Renaissance Architecture)
รูปแบบสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองซ์มีจุดกำเนิดที่เมืองฟลอเรนส์ (Florence) ในศตวรรษที่15 และได้แผ่ขยายไปทั่วยุโรปหลังจากนั้น โดยเข้าแทนที่สถาปัตยกรรมแบบโกธิค (Gothic) ของยุคกลางในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 สถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองซ์เป็นการเกิดใหม่ของวัฒนธรรมยุคคลาสสิค มีการใช้รูปแบบดั้งเดิมของยุคโรมันมากมาย ซึ่งรวมถึงการใช้เสา (column) ซุ้มโค้ง (arch) เพดานโค้ง (vault) และหลังคาโดม (dome) สถาปนิกยุคเรอเนสซองส์ศึกษาทฤษฎีและวิธีปฏิบัติของสถาปนิกในยุคโรมัน พวกเขาอ่านงานด้านสถาปัตยกรรมของสถาปนิกชาวโรมันชื่อวิทรูเวียส และสังเกตสิ่งก่อสร้างยุคโบราณทั้งในอิตาลี ฝรั่งเศส และสเปน เพื่อพัฒนาเป็นรูปแบบของตัวเอง

ยุคคลาสสิคและสถาปัตยกรรมเรอเนสซองซ์ใช้แบบ (order) ซึ่งเป็นระบบขององค์ประกอบสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม เป็นรากฐานในการออกแบบ ในยุคเรอเนสซองซ์มีอยู่ 5 แบบด้วยกัน คือ แบบทัสแคน (Tuscan Order) แบบดอริค (Doric Order) แบบไอโอนิค (Ionic Order) แบบคอรินเธียน (Corinthian Order) และแบบคอมโพสิท (Composite Order) สถาปนิกในช่วงต้นยุคเรอเนสซองซ์นิยมใช้แบบคอรินเธียนมากที่สุด ขณะที่ความเรียบง่ายแต่แข็งแรงของแบบดอริกจะเป็นที่นิยมกว่าในช่วงที่ยุคเรอเนสซองส์เฟื่องฟูถึงขีดสุด (High Renaissance) สถาปนิกยุคเรอเนสซองส์มุ่งนำเสนอความงามผ่านความเป็นสัดส่วน (proportion) เช่นเดียวกับในยุคคลาสสิค คุณลักษณะข้อนี้ทำให้รูปแบบสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองซ์แตกต่างจากยุคโกธิค การให้ความสำคัญกับสัดส่วนนี้ยังนำไปสู่การวาดภาพแบบเพอร์สเป็คทีฟ (perspective) หรือการวาดภาพให้ดูมีความลึก ที่ถูกใช้ครั้งแรกโดยสถาปนิกชาวฟลอเรนส์ชื่อ ฟิลิโป บรูเนลเลสกี (Filippo Brunelleschi) บรูเนลเลสกีเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองซ์ยุคแรกๆ ในประเทศอิตาลี งานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือหลังคาโดมของวิหาร ซานตา มาเรีย เดล ฟิโอเร (Santa Maria del Fiore) ในเมืองฟลอเรนส์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดวาโม่ (Duomo) วิหารนี้ใช้เวลาก่อสร้างถึง 16 ปี
ในช่วงแรกของการทำงาน บรูเนลเลสกีอาศัยในกรุงโรม วิหารแพนธิออนเป็นที่สนใจของเขามาก ทำให้เขาศึกษาด้านวิศวกรรมการก่อสร้างของโดมวิหารนี้ บรูเนลเลสกีประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้จากการศึกษาวิหารแพนธิออนในการก่อสร้างดวาโม่ด้วย เขาออกแบบให้โดมรับน้ำหนักได้ด้วยตัวเอง โดยใช้เครื่องมือชักรอกที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเพื่อโครงการนี้ บรูเนลเลสกี้ยังใช้เสาเพื่อรับน้ำหนักโครงสร้างด้วย แทนที่จะเป็นของประดับตกแต่งเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สมัยโรมัน ลีออน บาติสตา อัลเบอร์ติ (Leon Battista Alberti) เป็นผู้มีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองส์อีกคนหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 15 หนังสือ 10 เล่มเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมของเขาได้กลายมาเป็นเหมือนคัมภีร์สำคัญในศาสตร์งานฝีมือด้านนี้ อัลเบอร์ติเป็นผู้ออกแบบฟาสาด (façade) ด้านหน้าของโบสถ์ ซานต้า มาเรีย โนเวลลา (Santa Maria Novella) ในเมืองฟลอเรนส์ จุดเด่นของฟาสาดนี้คือความได้สัดส่วนและการวัดที่สมบูรณ์แบบ

ช่วงต้นศตวรรษที่ 16 เป็นช่วงการพัฒนาสถาปัตยกรรมแบบ High Renaissance ซึ่งให้ความสำคัญกับความชัดเจน (clarity) ความกลมกลืน (harmony) และความสงบเงียบ (repose) โดนาโต บรามันติ (Donato Bramante) ริเริ่มใช้สถาปัตยกรรมรูปแบบนี้ในงานออกแบบอย่างโบสถ์ Sant’ Ambrogio และโบสถ์ Santa Maria delle Grazie ซึ่งอยู่ในเมืองมิลานทั้งสองที่ ส่วน Tempietto at San Pietro Montorio งานชิ้นเอกในกรุงโรมชิ้นแรกของเขา มีลักษณะเป็นสิ่งก่อสร้างรูปโดมทรงกลม ที่มีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมในยุคคลาสสิค
นอกจากนี้ บรามันติ ยังเป็นสถาปนิกคนแรกของวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter Basilica) ในกรุงโรมด้วย จนเมื่อเขาเสียชีวิตลงในปี 1514 ช่วงปลายยุคเรอเนสซองซ์ (Late Renaissance) หรือที่เรียกอีกอย่างว่าช่วงยุคจริตนิยม (Mannerism) ของอิตาลีเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1520 ไปจนถึงสิ้นสุดศตวรรษที่ 16 สถาปัตยกรรมในยุคนี้จะสังเกตได้จากลักษณะที่มีความละเมียดละไม (sophistication) มีความซับซ้อน (complexity) และแปลกใหม่ (novelty) ซึ่งขัดกับหลักการของยุค High Renaissance อย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างของงานในช่วงยุคจริตนิยมคือ ห้องสมุดลอเรนเชียน (Laurentian Library) ในเมืองฟลอเรนส์ ซึ่งเป็นงานของ ไมเคิลแอนเจลโล(Michelangelo) และ Palazzo del Te ของ จูลิโอ รามาโน (Giulio Romano) สิ่งก่อสร้างเหล่านี้แหกกฎเดิมๆอย่างจงใจ และเพิ่มความซับซ้อนให้กับงานสถาปัตยกรรมแบบยุคคลาสสิค


วัฒนธรรมการกิน และ การอยู่ของชาวอิตาเลี่ยน
1. วัฒนธรรมการอยู่
1.1 อิตาลีมีวัฒนธรรมที่คล้ายคนเอเชียโดยให้ความเคารพนับถือผู้สูงอายุ การแสดงความเคารพ และให้เกียรติผู้สูงอายุถือเป็นมารยาทที่ชาวอิตาเลี่ยนชื่นชมมาก
1.2 การมอบดอกไม้ที่เป็นการแสดงความยินดี หรือขอบคุณเมื่อได้รับเชิญเป็นแขกควรให้เป็นช่อที่จำนวนเป็นคู่
1.3 การทักทายกับชาวอิตาเลี่ยนที่ยังไม่คุ้นเคยควรให้คำ “Signore” นำหน้าชื่อสกุลผู้ชาย และ “Signora” นำหน้าชื่อสกุลผู้หญิง เมื่อแนะนำตัว หรือเรียกขานผู้นั้น
1.4 การทำงาน และพบปะทางธุรกิจ เราต้องเรียกนามสกุล จนกว่าจะได้รับอนุญาตให้เรียกชื่อต้นได้ และหากมีคำนำหน้าชื่อ จำเป็นต้องเอ่ยให้ถูกต้องทุกครั้ง
1.5 เมื่อได้พบปะรู้จักกับคนใหม่ๆ การทักทายด้วยการจับมือเป็นเรื่องปกติ แต่บ่อยครั้งที่อาจจะนำมืออีกข้างมาจับที่แขนประกอบด้วย
1.6 คนอิตาลีมักชื่นชมผู้ที่มีการศึกษา มีความสามารถ ประสบความสำเร็จในอาชีพ และให้ความสำคัญ กับศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม เพลง ไวน์ เสื้อผ้า อาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย ดั้งนั้นเราควรที่จะศึกษาข้อมูลไว้บ้างหากต้องไปอาศัยอยู่ที่อิตาลี


ข้อไม่ควรปฏิบัติ
1.ไม่ควรซื้อสินค้าที่เป็นของเทียม หรือเลียนแบบ เนื่องจากกฎหมายอิตาลีกำหนดโทษปรับผู้ซื้อสินค้าดังกล่าว 10,000 ยูโร
2.ไม่สวมเสื้อเปิดไหล่ หรือกางเกงขาสั้นเข้าสำนักวาติกัน หรือโบสถ์อื่นๆ
3.ไม่ควรเข้าไปชมโบสถ์ หรือส่งเสียงดังในขณะมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
4.ไม่ควรใช้สัญญาลักษณ์มือในการสื่อภาษาหากไม่แน่ใจในความหมาย เช่น การใช้นิ้วมือ (โดยเฉพาะนิ้วกลาง)
5.หลีกเลี่ยงการสนทนาที่มีความเห็นขัดแย้งทางศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี


2. วัฒนธรรมการกิน
“พาสต้า” อาหารอิตาเลี่ยน คือ ชื่อเรียกโดยรวมของอาหารอิตาเลี่ยน ประกอบด้วยเส้นที่ทำจากแป้งสาลี น้ำ และไข่ จากนั้นจึงนำมารีดเป็นแผ่น และตัดเป็นเส้น ทำให้สุกโดยการต้ม รับประทาน กับซอสหลากหลายประเภท ที่มักมีส่วนประกอบหลักคือ น้ำมันมะกอก ผัก เครื่องเทศ และเนยแข็ง พาสต้าชนิดต่างดังนี้
- สปาเกตตี (Spaghetti) แบบเส้นกลมยาว และมะกะโรนี (Macaroni) แบบเส้นกลมยาวมีรูกลมตรงกลาง
- มะกะโรนีเอลโบ (Elbow Macroni) ลักษณะเป็นหลอดโค้ง เหมือนข้อต่อ ยาวประมาณ 1 นิ้ว ส่วนใหญ่ใช้ต้มเป็นซุปมะกะโรนี
- ลิงกวินี (Linguine) เป็นเส้นยาวแบนเล็กน้อย เส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 1/8 นิ้วเท่านั้น กินกับซอสหอยลายขาว ซอสเพสโต(โหระพา) และซอสที่ใช้น้ำมันเป็นส่วนประกอบ
- ฟูซิลี (Fusilli) แบบเส้นเกลียวสั้นเหมือนสกรู มีความหนากว่าเส้นสปาเกตตี หรือพาสต้าทั่วไป ทานกับซอสเนื้อตำรับดั้งเดิม หรือใช้กับเมนูที่เป็นพาสต้าอบ กับชีสชนิดต่างๆ
- เพนเน (Penne) แบบท่อขนาดกลาง ตัดเฉียงที่ปลายทั้งสองด้าน
- ริกาโทนี (Rigatoni) แบบท่อสั้นขนาดใหญ่ พื้นผิวด้านนอกหยัก
- ราวิโอลี (Ravioli) แป้งพาสต้าแบบแผ่นห่อไส้ หรือชีส หรือเนื้อสัตว์ คล้ายเกี๊ยว
- ฟาร์ฟ่าเล่ (Farfalle) โบว์ไทล์ หรือฟาร์ฟาลเล(ผีเสื้อ) พาสต้ารูปโบว์ หรือทางอิตาลี เรียกว่า รูปผีเสื้อมักจะเพิ่มความน่าสนใจให้กับอาหารด้วยรูปลักษณ์ของตัวมันเองซึ่งความหนาของฟาร์ฟาลเลสามารถเข้ากันได้กับซอลแทบทุกชนิดแล้วยังเหมาะกับการทำเป็นสลัด และซุปอีกด้วย

- เฟตตุซินี (Fettucini) เส้นยาวแบน กว้าง 0.5 นิ้ว เหมือนเส้นริบบิ้น ส่วนใหญืทานกับซอสขาวข้นๆ หรือซอสเห็ด

หลักการในการทานอาหารอิตาลี
มื้อเช้า
อาหารเช้าในอิตาลี จะไม่มีไข่, เบคอน และไส้กรอก เป็นมื้ออาหารเช้า ยกเว้นแต่ในโรงแรม ตามหลักแล้วจะเป็นแค่คาปูชิโน่ และขนมปัง Brioches นอกจากนี้ยังอาจะมี โยเกิร์ต เพิ่มขึ้นมาได้ด้วย
มื้ออาหารกลางวัน และมื้ออาหารเย็น
1. เนยจะไม่ถูกเสริฟสำหรับทาขนมปัง
2. การจิ้มขนมปังกับน้ำมันมะกอก ไม่ถูกใช้เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยของในอิตาลี
3. ไม่มีขนมปังที่กินร่วมกับพาสต้า
4. เลือกดื่มน้ำแร่ และ/หรือ ไวน์ กับมื้ออาหาร ไม่แนะนำให้เลือกดื่มโซดาหรือนม
5. มื้อหลักของอาหารอิตาเลียน นั้นค่อนข้างมีหลากหลายเมนู ร้านอาหารส่วนใหญ่มักจะเสริฟ เมนูจานที่ 1 และเมนูจานที่ 2 ในบางครั้งอาจจะมีเมนูจานที่ 3 เพิ่มขึ้นด้วย
6. กาแฟอาจจะถูกดื่มร่วมกับผลไม้หรือของหวาน แต่จะไม่ดื่มกับมื้อหลัก นอกจากนี้การดื่มกาแฟผสมนมจะมีเฉพาะเมนูอาหารเช้าเท่านั้น ส่วนของอาหารกลางวันและอาหารเย็นส่วนใหญ่จะดื่มเอสเปรสโซ่
7. การดื่มคาปูชิโน่และลาเต้ในอิตาลี จะไม่โรยซินนามอน แต่ส่วนใหญ่จะใช้ผงช็อคโกแล็ตหรือโกโก้ หรือวิปครีมแทน
8. ในกรณีที่ไปกินข้าวที่บ้านของชาวอิตาเลียน เจ้าบ้านมักที่จะหวังให้ผู้ไปเยือนนั้นกินเมนูนั้นหมด ในฐานะแขกไม่ควรเหลืออาหารไว้ในปริมาณที่เยอะในแต่ละจาน และในทางตรงกันข้ามอย่างกินแต่ละเมนูหมดไวนัก เพราะว่าเจ้าบ้านจะคอยเติมให้โดยตลอด และคาดหวังว่าแขกจะรับประทานหมดทุกจาน
9. ไม่ควรเขี่ยผักออกจากจาน เพราะอาหารอิตาเลียนจะเน้นเป็นอาหารสุขภาพ ดังนั้นชาวอิตาเลียนมักจะไม่ชอบเห็นผู้ที่ร่วมทานอาหารด้วย เขี่ยผักออกจากจาน
10. น้ำสลัดสไตล์อิตาเลียน ส่วนใหญ่จะใช้แค่น้ำมันและน้ำส้มสายชูเท่านั้น อย่าคาดหวังว่าสลัดที่สั่งมาจะมีน้ำสลัดที่เป็นมายองเนส หรือแบบข้น ให้
11. การรับประทานสปาเก็ตตี้สำหรับชาวอิตาเลียนที่อายุเกิน 5 ขวบขึ้นไป จะไม่ตัดเส้นสปาเก็ตตี้ แต่จะใช้วิธีม้วนเส้นกับส้อมแล้วรับประทาน
12. 1การดื่มไวน์ อย่างที่ทราบกันว่าไวน์ขาวจะรับประทานคู่กับปลา และไวน์แดงจะรับประทานคู่กับไวน์ขาว นอกจากนี้ไวน์ขาวโดยธรรมเนียมจะทานกับของที่ยากสุกแล้ว และไวน์แดงจะทานกับเนื้อที่ยังย่างไม่สุกนัก

ของที่ระลึก
อิตาลีอยู่ในตอนใต้ของทวีปยุโรป และตอนเหนือของแอฟริกา โดยมีลักษณะเป็นคาบสมุทรยื่นออกไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมืองหลวง คือกรุงโรม (Rome) ประชากร 2.7 ล้านคน เมืองสำคัญ โรม มิลาน เนเปิลส์ ฟลอเรนซ์ เวนิส อิตาลีมีสินค้าและของที่ระลึกที่นักท่องเที่ยวให้ความนิยมมากมาย
มิลาน หรือ มิลาโน (อิตาลี: Milano (มีลาโน), อังกฤษ: Milan) เป็นเมืองหลวงของแคว้นลอมบาร์เดีย และเป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลอมบาร์ดี (Lombardy) เมืองมิลานมีประชากร ประมาณ 1,308,500 (ข้อมูลปี พ.ศ. 2547) โดยถ้ารวมบริเวณรอบนอกและเขตปริมณฑลจะมีประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งเรียกเขตทั้งหมดว่า ลากรันเดมีลาโน (La Grande Milano) มิลานมีพื้นที่ประมาณ 1,982 ตร.กม. ชื่อเมืองมิลาน มาจากภาษาเซลต์ คำว่า "Mid-lan" ซึ่งหมายถึง อยู่กลางที่ราบ
เมืองมิลานมีชื่อเสียงในด้านแฟชั่นและศิลปะ ซึ่งมิลานถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชั่นในลักษณะเดียวกับ นิวยอร์ก ปารีสลอนดอน และ โรม นอกจากนี้มิลานยังเป็นที่รู้จักจากประเพณีคริสต์มาสที่เรียกว่า ปาเนตโตเน (Panettone) อุตสาหกรรม ผ้าไหม และแหล่งผลิตรถยนต์ อัลฟา โรมีโอ รวมไปถึง สโมสรฟุตบอลอินเตอร์มิลานและ สโมสรฟุตบอลเอซีมิลาน

สินค้าแบรนด์เนม ทั้ง GUCCI, PRADA, DOLCE & GABBANA, FENDI, GIORGIO ARMANI, VERSACE, BULGARI และแบรนด์อื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนแหล่งช้อบตามเมืองต่าง ๆ ได้แก่ Via dei Condotti (แถวบันไดสเปน),Via Montenapoleone fashion (มิลาน)หรือจะเป็นตาม outlet เช่น The Mall (ฟลอเร้นซ์), outlet ในเครือ fashion district, Serravalle designer outlet ในเครือ McArthurglen (outlet ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป)

ทองคำ
อิตาลีเป็นอีกประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องทองคำ ด้วยการออกแบบที่เก๋ ทันสมัย บวกกับปริมาณทองคำ
75 % จึงทำให้มีรูปแบบ รูปทรงต่างออกไปจากบ้านเรา แนะนำว่า ร้านขายทองตามเมืองใหญ่ ๆ ตามสถานที่ท่องเที่ยวอย่างโรม เวนิส ราคาจะแพงกว่าร้านค้าในเมืองเล็ก ๆ ค่ะ ราคาทองคำที่นี่จะขึ้นอยู่กับเจ้าของร้านเป็นผู้กำหนด
ทองเค หรือ ทอง อิตาลี เป็นทอง คำแท้ แต่มีส่วนผสมของทองน้อยกว่า ทองรูปพรรณ 96.5 % จึงทำให้ ทองเค หรือ ทอง อิตาลี มีความแข็งแรง และ สามารถผลิตลวดลายได้สวยสวยงามกว่า ทองรูปพรรณ 96.5% และทางต่างประเทศ นิยมซื้อ ทองเค หรือ ทอง อิตาลี

เครื่องหนัง


เมืองที่น่าเที่ยวในประเทศอิตาลี

กรุงโรม (Rome)
เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซิโอและประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.5ล้านคน ถ้ารวมเมืองโดยรอบจะมีประมาณ 4.3 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับมิลานและเนเปิลส์ โรมมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 2,800 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งเจ็ดริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ตอนกลางของประเทศโดยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรในอดีตมากมายเช่น ราชอาณาจักรโรมันสาธารณรัฐโรมันและจักรวรรดิโรมัน โรมเคยเป็นเมืองที่มีบทบาทมากที่สุดของอารยธรรมตะวันตกและในอดีตได้เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันได้เป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีตั้งแต่ ค.ศ. 1870 นอกจากนี้ โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกอีกด้วย

สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ
โคลอสเซียม(Colloseum)
เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้น ในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมันและสร้างเสร็จ ในสมัยของจักรพรรดิติตัสในคริสตศตวรรษที่1 หรือประมาณปี ค.ศ.80อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527เมตร สูง 57เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คนมีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรีเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬาและมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบันในบางครั้งจะมีการเรียกชื่อโคลิเซียม (Coliseum)7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น1ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

พระราชวังวาติกัน(Vatican Palace)
ตั้งอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นศูนย์กลางการปกครองของศาสนาคริสต์เเละยังเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสันตปาปาประมุขฝ่ายศาสนาคริสต์ เป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลกใช้ประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาต่างๆเป็นงานสถาปัตยกรรมที่งดงามลวดลายวิจิตรด้วยฝีมือศิลปินชาวอิตาลีหลายคนหลายยุคสมัยกว้าง 289 ฟุต ยาว 486 ฟุต สูง 354 ฟุต มียอดปราสาทมากถึง 135 ยอด เเละห้องต่างๆมากถึงสี่พันห้องนับเป็นงานก่อสร้างที่งดงามเเละมหัศจรรย์อีกเเห่งหนึ่งของโลก ภายในจะมีจุดสนใจของผู้ที่มาท่องเที่ยวก็คือ รูปภาพ ปิเอต้า(Pieta) สร้างสรรค์โดย ไมเคิลแองเจโล่ เป็นศิลปะ สมัยยุดเรนาชองต์ ประดิษฐาน ขึ้นที่ มหาวิหารวิหารเซ็นต์ ปีเตอร์ในศตวรรษที่ 18 โดยเป็นภาพของพระแม่มารีย์ ทรงโอบอุ้มพระเยซูก่อนที่ท่านจะสิ้นใจนอกจากนั้นยังมีศิลปะหลายแขนง ให้เลือกชม มากมาย


น้ำพุเทรวี่ (Trevi fountain)
เป็นน้ำพุที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ชื่อ “เทรวี่” นั้นมาจากคำว่า“ตรีวิอุม” หมายถึงพบกันของถนนสามสาย เป็นอนุสรณ์สไตล์บารอค ออกแบบและก่อสร้างโดย นิโคลา ซาลวี่ ซึ่งองค์สมเด็จสันตะปาปา ครีเมนต์ที่ 12ได้มอบหมายให้สร้างขึ้นในปี 1732 การก่อสร้างดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งภายหลังการสิ้นพระชนม์สมเด็จสันตะปาปาที่ เออร์บัน ที่ 8ได้หยุดชะงักลง และดำเนินการสร้างต่อมาจนแล้วเสร็จในปี 1762 รวม ใช้เวลาทั้งสิ้น 30ปี ทางระบายน้ำ เวอร์โก้ บริเวณลานด้านหน้านั้นก่อสร้างมากว่า 2000ปี ครั้งสมัยโรมโบราณซึ่งปกครองโดยจักรพรรดิออกัสตัส ซึ่ง ตรงเวลา 19 ปี ก่อนคริสตศักราช รูปปั้นแกะสลักที่เลิศหรูอลังการที่อวดโฉมให้ผู้ไปเยือนได้ยลนั้นได้แนวคิดจากความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าเนปจูน “เทพแห่งท้องทะเล”ว่ากันว่า หากใครที่ได้โยนเหรียญลงไปในน้ำ เขาหรือเธอผู้นั้นจะได้กลับมาเยือนอีกในสักวัน

บันไดสเปน (Piazza di spagna )
หนึ่งในจุดที่สวยในกรุงโรมบ่ายๆ ผู้คนจะมานั่งพักผ่อนพบปะกันเต็ม ย่านชอปปิ้งที่หรูหราที่สุดของเมือง มีซอยเล็ก ซอยน้อย ที่ท่านจะได้เดินเที่ยวชมและช้อปปิ้งเพลิดเพลิน



มิลาน (Milan)
เป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลีตั้งอยู่บริเวณที่ราบลอมบาร์ดี เมืองมิลานมีประชากร ประมาณ 1,308,500คนโดยถ้ารวมบริเวณรอบนอกและเขตปริมณฑลจะมีประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งเรียกเขตทั้งหมดว่า ลากรันเดมีลาโน มิลานมีพื้นที่ประมาณ 1,982 ตร.กม. ชื่อเมืองมิลาน มาจากภาษาเซลต์ คำว่า "Mid-lan" ซึ่งหมายถึง อยู่กลางที่ราบ เมืองมิลานมีชื่อเสียงในด้านแฟชันและศิลปะ ซึ่งมิลานถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชันในลักษณะเดียวกับ นิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน และ โรม นอกจากนี้มิลานยังเป็นที่รู้จักจากประเพณีคริสต์มาสที่เรียกว่า ปาเนตโตเน อุตสาหกรรม ผ้าไหม และแหล่งผลิตรถยนต์ อัลฟา โรมีโอ

วิหารดูโอโม่ (Duomo Cathedral)
ตั้งอยู่ที่จตุรัสกลางเมืองมิลานโบสถ์แห่งนี้เป็นศิลปะสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่ยิ่งใหญ่สวยงามที่สุดในอิตาลีและใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก โดยที่ไม่นับวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ความยาว ประมาณ 157 เมตร สามารถจุคนได้ประมาณ ถึง 40,000 คนซึ่งใช้ระยะเวลาการก่อสร้างยาวนานกว่า 500 ปี ( ค.ศ.1386 – 188)เป็นสิ่งก่อสร้างในยุคอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง

โบสถ์ซานตามาเรีย เดอ กราซี (Santa Maria delle Grazie)
โบสถ์ ซานตา มาเรีย เดล กราซี สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1465 และ 1482 ออกแบบโดย กิลฟอร์ท โครงสร้างโบสถ์แต่ดั้งเดิมนั้นปัจจุบันเหลือเพียงรูปแบบของแท่นบูชาห้องโถงกว้าง จากหน้าประตู และ ทางเดิน ซึ่งได้ใช้ศิลปะแบบโกธิค ลอมบาร์ค เป็นต้นแบบ นับแต่ปี ค.ศ.1490 เรื่อยมา ลูโดวิโก้ สโฟซ่า ได้ให้มีการปรับเปลี่ยน รูปแบบสถาปัตยกรรม เพื่อใช้เป็นสุสาน สำหรับครอบครัวของเขา ดยุคได้เล็งเห็นถึงความตั้งใจของเขาใน ซานตา มาเรีย เดอ กราซี และ เรียกงานของเขาว่าเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยเขาได้มอบหมายให้ บรามันเต้ เป็นผู้สร้าง หน้ามุข ขึ้นแทนที่ แท่นบูชา ล๊โอนาโด ได้รับมอบหมาย ให้วาดภาพอาหารมื้อสุดท้าย ขณะเดียวกัน คริสโตโฟโร โซลารี่ ได้ให้มอบหมายให้แกะสลักฝาหลุมฝังศพของลูวิโก้และแบทริสภรรยาของเขาโดยให้อยู่เป็นศูนย์กลางของบริเวณที่ขณะคณะขับร้องยืนภายในโบสถ์ทุกวันนี้สถานที่แห่งนี้จัดเป็นสุดยอดของงานและความอลังการของศิลปะยุคเรอเนอซองส์ ของมิลาน แม้จะถูกปรับเปลี่ยนและถูกทำลาย
จากการทิ้งระเบิดในวันที่ 16 ส.ค.ค.ศ.1943 ซึ่งการทิ้งระเบิดในครั้งนั้น ได้ทำลายห้องเก็บหนังสือและสถานที่สำหรับความตายเขาหมดสิ้น

ฟลอเรนซ์ (Florence)
ฟีเรนเซ หรือ ฟลอเรนซ์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นตอสกานาและจังหวัดฟีเรนเซ ใน ประเทศอิตาลีระหว่าง ค.ศ. 1865 ถึง ค.ศ. 1870 ฟีเรนเซก็เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิตาลี ฟีเรนเซตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน มีประชากรประมาณ 400,000 คนและอีก 200,000 คนในบริเวณปริมณฑล ฟีเรนเซในยุคกลางเป็นศูนย์กลางทางการค้าและทางการเงิน และถือกันว่าเป็นที่เกิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ตระกูลที่มีอำนาจการปกครองฟีเรนเซเป็นเวลานานคือตระกูลเมดิชิ นอกจากนั้นฟีเรนเซก็ยังมีชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางศิลปะและสถาปัตยกรรม ในยุคกลางฟีเรนเซเป็นที่รู้จักกันในนามว่าเอเธนส์ใจกลางเมืองเก่าของฟีเรนเซได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1982 (พ.ศ. 2525)

โบสถ์วิหาร ดูโอโม่ เมืองฟลอเรนซ์(Ponte di Vecchio )
เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม แห่งหนึ่ง ในอิตาลี ผสมความลงตัวของศิลปะ ยุค ไมเคิลแองเจลโล อีกทั้งยังได้มีหอระฆังขนาดยักษ์ เคียงคู่หอคอย ในโบสถ์ด้วย มีบันไดขึ้นไปชมวิวราว 414 ขั้น เพื่อให้ได้จุดที่สวย ชมวิวที่เหมาะสมกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่มีความอดทนเท่านั้น

โบสถ์เมดิ ซี (Medici Chapel)
โบสถ์ เมดิซี เป็นส่วนหนึ่งของวิหาร เดอ ซาน โลเรนโซ่ เดอ ฟีราเซ่ ในนครฟลอเรนซ์ ประเทศ อิตาลี ส่วนหน้าไม่เคยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามก็ไม่อาจปฏิเสธความงดงามภายในวิหารและโบสถ์เมดิซีได้ วิหารแห่งนี้เป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดในนครฟลอเรนซ์และอยู่ใจกลางเมือง วิหาร เดอ ซานโลเรนโซ่ ได้รับการเสกในปี ค.ศ.393 และ 300 ปี ต่อมาได้รับการสถาปนาให้เป็นโบสถ์กลางเมือง และเป็นที่ประทับของบิชอบผู้นำศาสนา วิหารนี้ยังเป็นโบสถ์ท้องถิ่นของตระกูลเมดิซี หนึ่งในตระกูลของผู้มีอำนาจในช่วงราวศตวรรษที่ 13 และ 17 ทั้งนี้ตระกูลเมดิซี เป็นตระกูลที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมในยุคศิลปะเฟื่องฟู และยืนยันถึงความรุ่งเรืองของศิลปะ ดนตรี ของสังคมในยุคเรอเนอซองส์ ของอิตาลี กล่าวได้ว่าตระกูลเมดิซี มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับประวัติศาสตร์ของฟลอเรนซ์ โดยมีโบสถ์ เมดิซี เป็นดังพินัยกรรมตกทอดความสัมพันธ์จวบจนทุกวันนี้
ภายในวิหาร เดอ ซานโลเรนโซ่ ตกแต่งตามสไตล์เรอเนอซองส์พื้นที่ภายในเป็นที่โล่งกว้าง ใหญ่ อากาศปลอดโปล่ง เย็นสบาย และตกแต่ง เพดานไว้อย่างวิจิตรตระการตา ร่างของคนในตระกูลเมดิซี เกือบ 50 คน ถูกฝังอยู่ใต้ห้องใต้ดินของโบสถ์ การก่อสร้างโบสถ์ เมดิซี เริ่มนับแต่ภายหลังการตายของ กิลลาโน และ โลเรนโซ่ เดอ เมดิซี ทายาทหนุ่มทั้ง 2 ของตระกูลในปี 1516 และ 1519 อนุสรณ์พิธีฝังศพของโบสถ์ ดำริให้สร้างขึ้นโดยสันตะปาปา ครีเมนต์ที่ 12 ในปี ค.ศ.1520 ซึ่งอดีตเป็นสังฆราช กิลิโอ เดอเมดิซีและได้มอบหมายให้หนึ่งในศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ยุคเรอเนอซองส์ อย่างไมเคิลแองเจลโล เป็นผู้สร้างขึ้นระหว่าง ปี 1520 และ 1534

เวนิส(Venice)
เวนิส เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี มีประชากร 271,663 คน เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก เมืองแห่งสายน้ำ เมืองแห่งสะพาน และ เมืองแห่งแสงสว่างเมืองเวนิส ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ มีผู้อยู่อาศัยโดยประมาณ 272,000 คน ซึ่งนับรวมหมดทั้งเวนิส โดยมี 62,000 คนในบริเวณเมืองเก่า 176,000 คนในเทอร์ราเฟอร์มา) และ 31,000 คนในเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ

สถานที่ไม่ควรพลาดชมเมื่อไปอิตาลี.....
หอเอนปิซา (Pisa Leaning Tower) หอเอนปิซา ตั้งอยู่ที่เมืองปิชา ประเทศอิตาลี ซึ่งสร้างด้วยหินอ่อน สูง 181 ฟุต มี 8 ชั้น โดยเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1174 เสร็จเมื่อปี ค.ศ.1350 ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 176 ปีสำหรับหอเอนปิชานี้ ภายในมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดังแห่งยุคที่สลักลวดลายไว้สวยงามมาก ส่วนสาเหตุที่เอียงนั้นเกิดขึ้นหลังจากเมื่อสร้างเสร้จแล้ว ฐานได้ทรุดไปข้างหนึ่ง เมื่อวัดดูปรากฏว่าเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 14 ฟุต แต่ก็ยังไม่ล้ม ยังคงเอียงอยู่เช่นทุกวันนี้ ณ ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลก หอเอนปิซา The Leaning Tower of Pisa เป็นหอระฆังที่มีลักษณะเอียงเหมือนกับจะโค่นล้มภูเขาไฟวีสุเวียส ปอมเปอีตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี ใกล้กับเมืองนาโปลี(เนเปิลส์) เหนืออ่าวเนเปิลส์ เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับเพียงแห่งเดียวในทวีปยุโรปแผ่นดินใหญ่ มีความสูง 1,281 เมตรปากปล่องมีเส้นรอบวง 1,400 เมตร ลึก 216 เมตร การระเบิดครั้งสำคัญที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม ปี พ.ศ. 622 (ค.ศ. 79)เถ้าถ่านได้ทับถมเมืองปอมเปอีทั้งเมืองแต่การระเบิดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944)เปิดให้เที่ยวชม ศึกษาซากฟอสซิลของมนุษย์ได้ที่นี่




สนใจเที่ยวอิตาลี ด่วนทางนี้!!!!



วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เมืองน่าเที่ยวประเทศอิตาลี

เมืองน่าเที่ยวประเทศอิตาลี



http://www.qetour.com/photos/see_the_world/images/spacer.gif
กรุงโรม (Rome)
เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซิโอและประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.5ล้านคน ถ้ารวมเมืองโดยรอบจะมีประมาณ 4.3 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับมิลานและเนเปิลส์ โรมมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 2,800 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งเจ็ดริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ตอนกลางของประเทศโดยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรในอดีตมากมายเช่น ราชอาณาจักรโรมันสาธารณรัฐโรมันและจักรวรรดิโรมัน โรมเคยเป็นเมืองที่มีบทบาทมากที่สุดของอารยธรรมตะวันตกและในอดีตได้เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันได้เป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีตั้งแต่ ค.ศ. 1870 นอกจากนี้ โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกอีกด้วย





http://www.qetour.com/photos/see_the_world/images/spacer.gif
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ
โคลอสเซียม(Colloseum)
เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้น ในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมันและสร้างเสร็จ ในสมัยของจักรพรรดิติตัสในคริสตศตวรรษที่1 หรือประมาณปี ค.ศ.80อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527เมตร สูง 57เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คนมีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรีเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬาและมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบันในบางครั้งจะมีการเรียกชื่อโคลิเซียม (Coliseum)7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น1ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

http://www.qetour.com/photos/see_the_world/images/spacer.gif



พระราชวังวาติกัน(Vatican Palace)
ตั้งอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นศูนย์กลางการปกครองของศาสนาคริสต์เเละยังเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสันตปาปาประมุขฝ่ายศาสนาคริสต์ เป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลกใช้ประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาต่างๆเป็นงานสถาปัตยกรรมที่งดงามลวดลายวิจิตรด้วยฝีมือศิลปินชาวอิตาลีหลายคนหลายยุคสมัยกว้าง 289 ฟุต ยาว 486 ฟุต สูง  354 ฟุต มียอดปราสาทมากถึง 135 ยอด เเละห้องต่างๆมากถึงสี่พันห้องนับเป็นงานก่อสร้างที่งดงามเเละมหัศจรรย์อีกเเห่งหนึ่งของโลก ภายในจะมีจุดสนใจของผู้ที่มาท่องเที่ยวก็คือ  รูปภาพ ปิเอต้า(Pieta) สร้างสรรค์โดย ไมเคิลแองเจโล่ เป็นศิลปะ สมัยยุดเรนาชองต์ ประดิษฐาน ขึ้นที่ มหาวิหารวิหารเซ็นต์ ปีเตอร์ในศตวรรษที่ 18 โดยเป็นภาพของพระแม่มารีย์ ทรงโอบอุ้มพระเยซูก่อนที่ท่านจะสิ้นใจนอกจากนั้นยังมีศิลปะหลายแขนง ให้เลือกชม มากมาย



http://www.qetour.com/photos/see_the_world/images/spacer.gif


น้ำพุเทรวี่ (Trevi fountain)
เป็นน้ำพุที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ชื่อ เทรวี่นั้นมาจากคำว่าตรีวิอุมหมายถึงพบกันของถนนสามสาย เป็นอนุสรณ์สไตล์บารอค ออกแบบและก่อสร้างโดย นิโคลา ซาลวี่ ซึ่งองค์สมเด็จสันตะปาปา ครีเมนต์ที่ 12ได้มอบหมายให้สร้างขึ้นในปี 1732 การก่อสร้างดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งภายหลังการสิ้นพระชนม์สมเด็จสันตะปาปาที่ เออร์บัน ที่ 8ได้หยุดชะงักลง และดำเนินการสร้างต่อมาจนแล้วเสร็จในปี 1762 รวม ใช้เวลาทั้งสิ้น 30ปี ทางระบายน้ำ เวอร์โก้ บริเวณลานด้านหน้านั้นก่อสร้างมากว่า 2000ปี ครั้งสมัยโรมโบราณซึ่งปกครองโดยจักรพรรดิออกัสตัส ซึ่ง ตรงเวลา 19 ปี ก่อนคริสตศักราช รูปปั้นแกะสลักที่เลิศหรูอลังการที่อวดโฉมให้ผู้ไปเยือนได้ยลนั้นได้แนวคิดจากความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าเนปจูน เทพแห่งท้องทะเลว่ากันว่า หากใครที่ได้โยนเหรียญลงไปในน้ำ เขาหรือเธอผู้นั้นจะได้กลับมาเยือนอีกในสักวัน

http://www.qetour.com/photos/see_the_world/images/spacer.gif



บันไดสเปน (Piazza di spagna )
หนึ่งในจุดที่สวยในกรุงโรมบ่ายๆ ผู้คนจะมานั่งพักผ่อนพบปะกันเต็ม ย่านชอปปิ้งที่หรูหราที่สุดของเมือง มีซอยเล็ก ซอยน้อย ที่ท่านจะได้เดินเที่ยวชมและช้อปปิ้งเพลิดเพลิน

http://www.qetour.com/photos/see_the_world/images/spacer.gif

มิลาน (Milan) 
เป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลีตั้งอยู่บริเวณที่ราบลอมบาร์ดี เมืองมิลานมีประชากร ประมาณ 1,308,500คนโดยถ้ารวมบริเวณรอบนอกและเขตปริมณฑลจะมีประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งเรียกเขตทั้งหมดว่า ลากรันเดมีลาโน  มิลานมีพื้นที่ประมาณ 1,982 ตร.กม. ชื่อเมืองมิลาน มาจากภาษาเซลต์ คำว่า "Mid-lan" ซึ่งหมายถึง อยู่กลางที่ราบ เมืองมิลานมีชื่อเสียงในด้านแฟชันและศิลปะ ซึ่งมิลานถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชันในลักษณะเดียวกับ นิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน และ โรม นอกจากนี้มิลานยังเป็นที่รู้จักจากประเพณีคริสต์มาสที่เรียกว่า ปาเนตโตเน อุตสาหกรรม ผ้าไหม และแหล่งผลิตรถยนต์ อัลฟา โรมีโอ
http://www.qetour.com/photos/see_the_world/images/spacer.gif



วิหารดูโอโม่ (Duomo Cathedral)
ตั้งอยู่ที่จตุรัสกลางเมืองมิลานโบสถ์แห่งนี้เป็นศิลปะสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่ยิ่งใหญ่สวยงามที่สุดในอิตาลีและใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก โดยที่ไม่นับวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ความยาว ประมาณ 157 เมตร สามารถจุคนได้ประมาณ ถึง 40,000 คนซึ่งใช้ระยะเวลาการก่อสร้างยาวนานกว่า 500 ปี ( ค.ศ.1386 – 188)เป็นสิ่งก่อสร้างในยุคอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง
http://www.qetour.com/photos/see_the_world/images/spacer.gif


โบสถ์ซานตามาเรีย เดอ กราซี (Santa Maria delle Grazie)
โบสถ์ ซานตา มาเรีย เดล กราซี สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1465 และ 1482 ออกแบบโดย กิลฟอร์ท โครงสร้างโบสถ์แต่ดั้งเดิมนั้นปัจจุบันเหลือเพียงรูปแบบของแท่นบูชาห้องโถงกว้าง จากหน้าประตู และ ทางเดิน ซึ่งได้ใช้ศิลปะแบบโกธิค ลอมบาร์ค เป็นต้นแบบ นับแต่ปี ค.ศ.1490 เรื่อยมา ลูโดวิโก้ สโฟซ่า ได้ให้มีการปรับเปลี่ยน รูปแบบสถาปัตยกรรม เพื่อใช้เป็นสุสาน สำหรับครอบครัวของเขา ดยุคได้เล็งเห็นถึงความตั้งใจของเขาใน ซานตา มาเรีย เดอ กราซี และ เรียกงานของเขาว่าเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยเขาได้มอบหมายให้ บรามันเต้ เป็นผู้สร้าง หน้ามุข ขึ้นแทนที่ แท่นบูชา ล๊โอนาโด ได้รับมอบหมาย ให้วาดภาพอาหารมื้อสุดท้าย ขณะเดียวกัน คริสโตโฟโร โซลารี่ ได้ให้มอบหมายให้แกะสลักฝาหลุมฝังศพของลูวิโก้และแบทริสภรรยาของเขาโดยให้อยู่เป็นศูนย์กลางของบริเวณที่ขณะคณะขับร้องยืนภายในโบสถ์ทุกวันนี้สถานที่แห่งนี้จัดเป็นสุดยอดของงานและความอลังการของศิลปะยุคเรอเนอซองส์ ของมิลาน แม้จะถูกปรับเปลี่ยนและถูกทำลาย
http://www.qetour.com/photos/see_the_world/images/spacer.gif
จากการทิ้งระเบิดในวันที่ 16 ส.ค.ค.ศ.1943 ซึ่งการทิ้งระเบิดในครั้งนั้น ได้ทำลายห้องเก็บหนังสือและสถานที่สำหรับความตายเขาหมดสิ้น

http://www.qetour.com/photos/see_the_world/images/spacer.gif

ฟลอเรนซ์ (Florence)
ฟีเรนเซ หรือ ฟลอเรนซ์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นตอสกานาและจังหวัดฟีเรนเซ ใน ประเทศอิตาลีระหว่าง ค.ศ. 1865 ถึง ค.ศ. 1870 ฟีเรนเซก็เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิตาลี ฟีเรนเซตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน มีประชากรประมาณ 400,000 คนและอีก 200,000 คนในบริเวณปริมณฑล ฟีเรนเซในยุคกลางเป็นศูนย์กลางทางการค้าและทางการเงิน และถือกันว่าเป็นที่เกิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ตระกูลที่มีอำนาจการปกครองฟีเรนเซเป็นเวลานานคือตระกูลเมดิชิ นอกจากนั้นฟีเรนเซก็ยังมีชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางศิลปะและสถาปัตยกรรม ในยุคกลางฟีเรนเซเป็นที่รู้จักกันในนามว่าเอเธนส์ใจกลางเมืองเก่าของฟีเรนเซได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1982 (พ.ศ. 2525)
http://www.qetour.com/photos/see_the_world/images/spacer.gif


http://www.qetour.com/photos/see_the_world/images/spacer.gif


โบสถ์เมดิ ซี (Medici Chapel)
โบสถ์ เมดิซี เป็นส่วนหนึ่งของวิหาร เดอ ซาน โลเรนโซ่ เดอ ฟีราเซ่ ในนครฟลอเรนซ์ ประเทศ อิตาลี ส่วนหน้าไม่เคยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามก็ไม่อาจปฏิเสธความงดงามภายในวิหารและโบสถ์เมดิซีได้ วิหารแห่งนี้เป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดในนครฟลอเรนซ์และอยู่ใจกลางเมือง วิหาร เดอ ซานโลเรนโซ่ ได้รับการเสกในปี ค.ศ.393 และ 300 ปี ต่อมาได้รับการสถาปนาให้เป็นโบสถ์กลางเมือง และเป็นที่ประทับของบิชอบผู้นำศาสนา วิหารนี้ยังเป็นโบสถ์ท้องถิ่นของตระกูลเมดิซี หนึ่งในตระกูลของผู้มีอำนาจในช่วงราวศตวรรษที่ 13 และ 17 ทั้งนี้ตระกูลเมดิซี เป็นตระกูลที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมในยุคศิลปะเฟื่องฟู และยืนยันถึงความรุ่งเรืองของศิลปะ ดนตรี ของสังคมในยุคเรอเนอซองส์ ของอิตาลี กล่าวได้ว่าตระกูลเมดิซี มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับประวัติศาสตร์ของฟลอเรนซ์ โดยมีโบสถ์ เมดิซี เป็นดังพินัยกรรมตกทอดความสัมพันธ์จวบจนทุกวันนี้

ภายในวิหาร เดอ ซานโลเรนโซ่ ตกแต่งตามสไตล์เรอเนอซองส์พื้นที่ภายในเป็นที่โล่งกว้าง ใหญ่ อากาศปลอดโปล่ง เย็นสบาย และตกแต่ง เพดานไว้อย่างวิจิตรตระการตา ร่างของคนในตระกูลเมดิซี เกือบ 50 คน ถูกฝังอยู่ใต้ห้องใต้ดินของโบสถ์ การก่อสร้างโบสถ์ เมดิซี เริ่มนับแต่ภายหลังการตายของ กิลลาโน และ โลเรนโซ่ เดอ เมดิซี ทายาทหนุ่มทั้ง 2 ของตระกูลในปี 1516 และ 1519 อนุสรณ์พิธีฝังศพของโบสถ์ ดำริให้สร้างขึ้นโดยสันตะปาปา ครีเมนต์ที่ 12  ในปี ค.ศ.1520 ซึ่งอดีตเป็นสังฆราช กิลิโอ เดอเมดิซีและได้มอบหมายให้หนึ่งในศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ยุคเรอเนอซองส์ อย่างไมเคิลแองเจลโล เป็นผู้สร้างขึ้นระหว่าง ปี 1520 และ 1534


http://www.qetour.com/photos/see_the_world/images/spacer.gif
เวนิส(Venice)
เวนิส เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี มีประชากร 271,663 คน เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก เมืองแห่งสายน้ำ เมืองแห่งสะพาน และ เมืองแห่งแสงสว่างเมืองเวนิส ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ มีผู้อยู่อาศัยโดยประมาณ 272,000 คน ซึ่งนับรวมหมดทั้งเวนิส โดยมี 62,000 คนในบริเวณเมืองเก่า 176,000 คนในเทอร์ราเฟอร์มา) และ 31,000 คนในเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ









 สถานที่ไม่ควรพลาดชมเมื่อไปอิตาลี
หอเอนปิซา (Pisa Leaning Tower)
หอเอนปิซา ตั้งอยู่ที่เมืองปิชา ประเทศอิตาลี ซึ่งสร้างด้วยหินอ่อน สูง 181 ฟุต มี 8 ชั้น โดยเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1174 เสร็จเมื่อปี ค.ศ.1350 ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 176 ปีสำหรับหอเอนปิชานี้ ภายในมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดังแห่งยุคที่สลักลวดลายไว้สวยงามมาก ส่วนสาเหตุที่เอียงนั้นเกิดขึ้นหลังจากเมื่อสร้างเสร้จแล้ว ฐานได้ทรุดไปข้างหนึ่ง เมื่อวัดดูปรากฏว่าเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 14 ฟุต แต่ก็ยังไม่ล้ม ยังคงเอียงอยู่เช่นทุกวันนี้ ณ ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลก หอเอนปิซา The Leaning Tower of Pisa เป็นหอระฆังที่มีลักษณะเอียงเหมือนกับจะโค่นล้มภูเขาไฟวีสุเวียส ปอมเปอีตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี ใกล้กับเมืองนาโปลี(เนเปิลส์) เหนืออ่าวเนเปิลส์ เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับเพียงแห่งเดียวในทวีปยุโรปแผ่นดินใหญ่ มีความสูง 1,281 เมตรปากปล่องมีเส้นรอบวง 1,400 เมตร ลึก 216 เมตร การระเบิดครั้งสำคัญที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม ปี พ.ศ. 622 (ค.ศ. 79)เถ้าถ่านได้ทับถมเมืองปอมเปอีทั้งเมืองแต่การระเบิดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944)เปิดให้เที่ยวชม ศึกษาซากฟอสซิลของมนุษย์ได้ที่นี่