วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

7สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า


7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (ยุคโบราณ)
          เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ( Seven Wonders of the World )  คือสิ่งที่ก่อสร้างที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสิ่งยิ่งใหญ่และมีความโดดเด่น  สำหรับสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์สมัยโบราณ อายุตั้งแต่ 5,000 ปีก่อนคริสต์กาล - ค.ศ. 500  ประมวลและจัดโดยนักปราชญ์กรีก ชื่อ แอนติเพเตอร์( Antipater ) แห่งไซดอน ( Sidon )  ในศตวรรษที่สอง ก่อนคริสตกาล  สิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ล้วนเป็นอาคารหรืออนุสาวรีย์ขนาดมโหฬาร และที่จัดใว้ 7 อันดับ ก็เพราะ เลข 7 นั้นกรีกถือว่าเป็นเลขที่ศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง          สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 7 อย่าง สมัยโบราณเป็นผลงานของมนุษย์ทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรมและศิลปะชวนพิศวง จากยุคสมัยแรกเริ่มอารยธรรมของโลกในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ในอียิปต์ ถึงยุคความรุ่งเรืองของอารยธรรมกรีกโบราณ และยุคสมัยอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกดึกดำบรรพ์นั้น บัดนี้เหลือให้เห็นเพียงแค่พีระมิดของอียิปต์ แต่อีก 6 สิ่งนั้น ไม่มีปรากฎให้เห็นแล้ว          

สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยโบราณ ได้แก่1.พีระมิดแห่งเมืองกิซา2.มหาวิหารอาร์เทมีส3.สุสานของกษัตริย์โมโซรุส4.สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน5.เทวรูปเทพเจ้าซีอุส6.เทวรูปเทพเจ้าเฮลิออส7.หอประภาคารโรส-----------------------------------------------------------------------
7wonders-pyramid-NGK0408-lg

ชื่อสถานที่ พิรามิดแห่งกิซ่า (The Great Pyramid of Egypt )
สถานที่ตั้ง เมืองกิซา ประเทศอียิปต์ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้          พิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีพิรามิดอยู่เกือบ 70 แห่ง แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดจนอาจนับเป็นตัวแทนของพีระมิดอียิปต์ทั้งมวล ได้แก่ หมู่พีระมิดแห่งกิซ่า (Giza Pyramid Complex)  ซึ่งประกอบไปด้วย 3 แห่งที่อยู่ในเมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส   สันนิษฐานว่า พิรามิดนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้างราว 10 ปี         > โดยพิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ มีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า จึงเรียกกันว่ามหาพิรามิด          - ฐานของพิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 570,000 ตาราง768 ฟุต บริเวณฐานพิรามิด 4 ด้านนั้น มีความ             กว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว          - ตัวมหาพิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า             6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตรสันนิษฐานว่าผู้สร้างพิรามิดนี้อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของพิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยังน่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุตใจกลางพิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หิบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องพิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และพิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง         > พิรามิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็นพิรามิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาพิรามิด และอยู่ตรงกลางของพีรามิดทั้ง 3  สร้างอยู่บนพื้นที่สูง ทำให้ดูเหมือนมีขนาดใหญ่ที่สุด และมีบางคนเข้าใจผิดว่าพีรามิดคีเฟรนคือมหาพีรามิดแห่งกิซ่า ทางทิศตะวันออกของพีรามิดคีเฟรน  มีมหาสฟิงซ์  (The Great Sphinx of Giza) หินแกะสลักขนาดมหึมาที่มักปรากฏในภาพถ่ายคู่กับพีระมิดคีเฟรน รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังพิรามิดแห่งคีเฟรน โดยพิรามิดคีเฟรนสูง 460 ฟุต ช่วงบนของพิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว         >  พิรามิดไมซีรีนัส  มีขนาดเล็กที่สุดและเก่าแก่น้อยที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า  สูงแค่ 230 ฟุต----------------------------------------------------------------------- 
A9496

ชื่อสถานที่     มหาวิหารอาร์เทมีส (The Temple of Artemis (Diana) )
สถานที่ตั้ง เมืองเอเฟซุส ประเทศตุรกีปัจจุบัน   ยังมีซากหลงเหลืออยู่บ้าง           เป็นวิหารสร้างด้วยหินอ่อน เลียบแบบศิลปะแบบกรีก เพื่อถวายเทพเจ้าอาร์เทมีส (เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ของกรีก) ผู้มาจากสวรรค์ ผู้ช่วยชาวเมืองให้พ้นจากหายนะและภัยพิบัติได้ อยู่ในเมืองอีเฟซุส  บนชายฝั่งแห่งหนึ่ง  (ซึ่งปัจจุบันนี้ คือประเทศตุรกี) ในรัชสมัยของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์แห่งกรีก จัดเป็นวิหารที่สวยงามแห่งหนึ่งจนกลายเป็นที่รู้จักว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคเก่า         วิหารนี้มีเนื้อที่ถึง 54,720 ตารางฟุต ตัวอาคารมีความกว้างถึง 400 ฟุต บริเวณโดยรอบวัดแห่งนี้กินเนื้อที่เกือบ 2 เอเคอร์ และมีเสาหินตั้งตระหง่านรอบตัวอาคารมากกว่า 100 เสาหิน แต่ละเสาหินมีเส้นผ่านศุนย์กลาง 6 ฟุต ความสูง 60 ฟุต หลังคาปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน ภายในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าชื่อว่า อาร์ทิมีส หรืออีกชื่อหนึ่งว่า   ไดอาน่า ประชาชนจะนำสิ่งของมาสักการะบูชา ส่วนมากเป็นสิ่งของมีค่ามากมาย  ตัววิหารเคยถูกไฟไหม้เสียหายครึ่งหนึ่งแต่ได้รับการซ่อมแซมใหม่โดยกษัตริย์อเล็กซานเดอร์            วิหารแห่งนี้ได้ถูก ทำลายสิ้น ก่อนปี ค.ศ. 262 จึงเหลือแต่ซากปรักหักพังเก็บไว้ชมอยู่ในกรุงอิสตันบลู ประเทศตุรกี   ด้วยเหตุนี้มหาวิหารที่อุทิศแด่เทพอาร์เทมีส  ปัจจุบันจึงแทบไม่เหลืออะไร  มีนักโบราณคดีพยายามจินตนาการวิหารทั้งหลัง มีหลายแบบด้วยกันแต่ดูเหมือนว่าจะมีข้อผิดพลาดกันอยู่  อย่างไรก็ดีภาพที่นำมาให้ดูนี้ก็ยังพอช่วยจินตนาการได้ดีกว่ากองหินบนพื้นที่โล่งๆ.           ดินแดนแถบนี้หลังจากที่พวกกรีกหมดอำนาจลง  ยังมีพวกเปอเชียกับพวกมาเซโดเนีย  (ยุคของอเล็กซานดรา)แล้วก็พวกโรมันเข้ามาครอบครอง  แต่ละชนชาติดังกล่าวให้ความเคารพและเพิ่มพูนสิ่งประดับประดาแก่วิหารของเทพอาร์เทมีสเรื่อยมา (มีโบราณวัตถุที่ขุดพบได้จากที่นี่ที่เป็นของยุคต่างๆในพิพิธภัณฑ์ของเมืองเอเฟซุส)เมื่อคริสต์ศาสนาเข้ามีอิทธิพลเหนือระบบเทพเจ้าหลายองค์  (polytheism)  วิหารนี้ถูกทำลาย   เสาหินและหินก้อนใหญ่ๆสวยๆ  ถูกนำไปสร้างวิหารเซนต์โซเฟียที่เมืองคอนสแตนติโนเปิล  กับวัดของเซนต์จอห์นที่เมืองเซลสุค-Seluk  ใกล้ๆเมืองเอเฟซุส.
ArtemisiumOnCoins

          เหรียญทั้งสามนี้ทำขึ้นในสมัยโรมัน  มีรูปปั้นของเทพีอาร์เมทีสกับวิหาร  โดยเหรียญบนเป็นทองสำริดสมัยจักรพรรดิ Maximus (เป็นเหรียญที่ใช้ในระหว่างAD.235-238). แถวล่างเหรียญซ้ายจากสมัยของ Claudius(AD.41-45).เหรียญขวาจากสมัยของ Hadrian(AD.117-138). เหรียญเหล่านี้ได้ช่วยให้นักโบราณคดีจินตนาการแล้ววาดภาพของวิหารออกมา   ส่วนรูปปั้นของเทพีอาร์เมทีสโชคดีมากที่ยังคงเหลือเกือบสมบูรณ์ให้เราดูได้ในพิพิธภัณฑ์โบราณคดีเมืองเอเฟซุส.--------------------------------------------------------------------------
เมาโซเลอุม

ชื่อสถานที่     สุสานของกษัตริย์โมโซรุส (The Mausoleum at Halicarnassus)
สถานที่ตั้ง     เมืองฮาลคาร์นาซซัส ประเทศตุรกีปัจจุบัน    ยังมีซากหลงเหลือ           สุสานเก่าแก่ของพระเจ้ามุสโซลุส กษัตริย์แห่งเอเซียไมเนอร์ หรือเปอร์เซียในปัจจุบัน สร้างโดยพระมเหสีชื่อ อาเตมีสเซีย ซึ่งเป็นทั้งพระขนิษฐาของพระองค์ด้วย ความตายของพระสวามี ทำให้พระนางเสียพระทัยมากถึงขนาดผสมเถ้าถ่านกระดูกของพระสวามีกับเครื่องดื่มของพระองค์ จึงสร้างสุสานไว้เป็นที่ระลึก คำว่า MAUSOLEUM จึงถูกใช้ขนานนามสุสานขนาดใหญ่ ๆ ในเวลาต่อมา          สุสานเก่าแก่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนี้ เป็นผลงานของนายช่างผู้สร้างสรรค์ทั้ง 4 คน ด้วยกัน คือ ฟิดิอัส , ชาติรัสบายฮาซีส , สโคปปาส และ ทิโมทิอัส สร้างด้วยหินอ่อน ในปี ค.ศ. 156 - 190 มีขนาดสูงถึง 140 ฟุต ฐานโดยรอบยาวถึง 460 ฟุต บนยอดสุดเป็นพื้นเหลี่ยม เล็กกว่าฐานล่าง ได้ปั้นเป็นรูปราชรถและม้า 1 ชุดกำลังวิ่ง และมีกษัตริย์พระมเหสียืนอยู่บนราชรถม้า ประกอบด้วยลวดลาย สวยงามมาก          ในปัจจุบันนี้เหลือแต่ซากปรักหักพังบางส่วนบางส่วนเพราะเกิดแผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 12 - 13 ขึ้นและชิ้นส่วนเหล่านี้ถูกนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ของประเทศอังกฤษชื่อ บริทิช มิวเซียม ------------------------------------------------------------------------
A9499

ชื่อสถานที่   สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน (The Hanging Gardens of Babylon )
สถานที่ตั้ง    กลางทะเลทราย เมืองแบกแดด ประเทศอิรักปัจจุบัน     ทั้งสวนและผนังดังกล่าวทรุดโทรมจนแทบไม่เหลือซากแล้ว            ระหว่างในรัชสมัยของพระเจ้านาโบโปลัซซาร์และพระโอรส คือ พระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์ที่สอง ปกครองบาบิโลนซึ่งได้ขยายแสนยานุภาพออกไปมากมายจนรุ่งเรือง พระเจ้านาโบโปลัซซาร์ทรงโปรดให้ สร้างกำแพงมหึมาล้อมรอบมือง และโอรสก็ทรงดำเนินโครงการต่อ สร้างป้อมปราการและจุดป้องกันต่าง ๆ รอบกำแพง มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำยูเฟรตีส  โดยพระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์ โปรดให้สร้างสวนลอยซึ่งมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วจนกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก             สวนลอยนี้ เป็นสวนที่สร้างอยู่เหนือพื้นดินบนพื้นที่กึ่งทะเลทราย พระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์ ทรงสร้างให้พระมเหสีซึ่งเป็นเจ้าหญิงแห่งมีดส์   ตามตำนาน พระราชินีเซมีรามิส องค์นี้ทรงอาลัยอาวรณ์ ภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาเปอร์เซีย อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนและไม่โปรดความราบเรียบของนครบาบิโลน ดังนั้นจึงมีการสร้างสวนลอยขึ้นเป็นภูเขาซึ่งสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์         สวนลอยแห่งนี้สร้างเมื่อประมาณ 600 ปี ก่อนคริสตกาล โดยก่อเป็นเนินสูงซ้อนกันเป็นชั้นสูง ๆ สูงถึง 328 ฟุตหรือ 100 เมตร ล้อมรอบด้วยกำแพงแข็งแกร่งหนาถึง 23 ฟุต หรือ 7 เมตร แต่ละชั้น สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก และ ปลูกดอกไม้ พืชพันธุ์ต่าง ๆ ไว้จำนวนมาก พันธ์พฤกษ์สารพัดชนิดจากทุกมุมโลก รวมทั้งไม้ดอกและไม้เลื้อย บันไดที่พาขึ้นไปสู่สวน กว้างขวางทำด้วยหินอ่อนข้างใต้บันไดมีซุ่มคอยรับน้ำหนัก ข้างบนเฉลียงของสวนลอยมีถังน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงน้ำพุ น้ำตก และสายน้ำต่าง ๆ บนสวนลอย   โดยน้ำจำนวนมากมายนี้ สูบมาจากแม่น้ำยูเฟรติสโดยทาส โดยชักน้ำจากเบื้องล่างขึ้นไปสู้ชั้นสูงสุดแล้วปล่อยให้ ไหลลงมาสู่ชั้นต่าง ๆ เบื้องล่าง          พ่อค้าวาณิชที่เดินทางในทะเลทรายมาสู่เมืองนี้ จะได้เห็นสวนลอยแห่งนี้อยู่สูงเด่นเห็นแต่ไกล จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทิศ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฎว่ากรุงบาบิโลน อยู่ในเมืองแบกแดก ของประเทศอิรักในปัจจุบัน   หลังจากพระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์สิ้นพระชนม์ลงได้ 22 ปี อาณาจักรนี้ก็ตกเป็นของจักรพรรดิไซรัสมหาราช แห่งเปอร์เชีย สันนิษฐานกันว่า สวนลอยแห่งบาบิโลนนี้ ยังคงอยู่คู่เมืองจนถึงวศรรตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลปัจจุบันนี้ส่วนที่หลงเหลืออยู่ให้เราได้ชมก็คือบ่อน้ำและโค้งซุ้มประตูหนึ่งหรือสองอัน และนิยาย คำร่ำลือสืบต่อ ๆ กันมา-------------------------------------------------------------------------
A9500

ชื่อสถานที่      เทวรูปเทพเจ้าซีอุส ( The Statue of Zeus at Olympia )
สถานที่ตั้ง    เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซปัจจุบัน    ไม่เหลือซาก            อนุสาวรีย์นี้เป็นรูปสลักเทพเจ้าซีอุส นั่งบนบัลลังก์สีทองที่แกะสลักด้วยงาช้างจำนวนมากมาประกอบกันขึ้นผู้ที่ปั้นเทวรูปซีอุสนี้ เป็นปฏิมากรเอกชาวกรีก ชื่อ ฟีดีอัส เป็นคนเดียวกับที่สร้างวิหารพาเธนอน ในกรุงเอเธนส์ และสนามกีฬาโอลิมปิค          เทวรูปซีอุส เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยุคเก่าแก่สิ่งหนึ่งของโลก คือ สร้างขึ้นประมาณ 2,400 ปีก่อน ระหว่งปี ค.ศ. 53 - 111 ตามตำนานที่จารึกไว้ได้ระบุว่าเทวรูปทำจากงาช้างสูง 58 ฟุต มีขนาดใหญ่กว่าคนปรกติถึง 8 เท่า พระหัตถ์ซ้ายทรงคทา พระหัตถ์ขวารองรับ รูปปั้นแห่งชัยชนะ (A small figure of Victory ) มีเครื่องประดับประดาด้วยทองคำล้วน   ชาวโรมันเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จูปีเตอร์ ชาวกรีกได้เรียกเทวรูปนี้ว่า ซุส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นผู้นำแห่งเทพเจ้า ซึ่งชาวกรีกนับถื่อมากที่สุดในยุคนั้น ใครจะออกเดินทางไปเมืองใดต้องมาพรจากพระองค์เสียก่อนแต่บัดนี้ไม่มีหลักฐานให็เป็นที่ชมได้เพราะได้ถูกไฟเผาไหม้หมดทั้งองค์ในปี ค.ศ. 476 คงเห็นภาพในเหรียญตราโบราณ และจากจินตนาการที่ได้มาจากคำบอกเล่า หรือ นิยายปรัมปราเท่านั้น แต่ความงาม ความใหญ่โตศักดิสิทธิ์ ยังคงเป็นที่ยกย่องเล่าลือมาจนถึงปัจจุบันนี้ ------------------------------------------------------------------
1.6

ชื่อสถานที่     เทวรูปเทพเจ้าเฮลิออส(อะพอลโล) The Colossus of Rhodes
สถานที่ตั้ง     เกาะโรดส์ ประเทศกรีซปัจจุบัน    ไม่เหลือซาก          เป็นรูปของเทพเจ้าเฮลิออส หรือ อพอลโล สูงถึง 105 ฟุต หรือ 32 เมตร ละหนักถึง 295 ตัน หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ในท่ายืน ตัวเทวรูปตั้งอยู่บนฐานทั้งสองข้างของปากอ่าว องค์เทวรูปยืนถ่างคร่อมปากอ่าว ให้เรือลอดไปมาได้ มีกระจกบานใหญ่ติดอยู่บนอกทำให้เรือที่แล่นออกจากอียิปต์มองเห็นได้ชัดเจน           ประวัติความเป็นมาของรูปปั้นมหึมานี้ ย้อนกลับไปเมื่อสองพันกว่าปีก่อน ในปี 357 ก่อน ค.ศ. เกาะโรดส์ (Rhodes - ปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศกรีซ) ซึ่งเป็นอีกเมืองท่าสำคัญในยุคนั้น ถูกยึดครองโดย Mausolus แห่ง Halicarnassus (ผู้ที่หลุมศพของพระองค์กลายเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคต้นนั่นเอง) จนถึงปี 332 ก่อน ค.ศ. ก็กลายเป็นของ Alexander มหาราช จนเมื่อสิ้นยุคของพระองค์ อำนาจเหนืออาณาจักรทั้งหลายก็ตกอยู่ในมือของ Ptolemy, Seleucus และ Antigous   ชาวเกาะโรดส์ได้ตัดสินใจ ร่วมรบกับพระเจ้าปโตเลมีแห่งอียิปต์ ทำให้ Antigous ไม่พอใจ จึงส่ง Demetrius ลูกชายพร้อมกองทหาร 40,000 คน (ซึ่งมากกว่าประชากรชาวโรคส์ทั้งหมดเสียอีก) มาโอบล้อมเกาะเอาไว้เพื่อสั่งสอน แต่จนแล้วจนรอด กองทหารของ Demetrius กลับไม่สามารถตีฝ่ากำแพงอันแน่นหนาของโรดส์ได้  เกิดการปะทะกันอยู่เกือบปีจนในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้กลับไป   เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะครั้งใหญ่และเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการหลุดพ้นจากชาว แมซีโดเนียชาวโรดส์จึงตั้งใจจะสร้างเทวรูปของเทพเจ้า Helios (หรืออพอลโล เป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์) โดยมอบให้ ปฏิมากรผู้หนึ่งซึ่งได้ร่วมรบในสงครามครั้งนี้  ชื่อว่า ชาเรส (Chares)  แห่ง ลินดัส (Lindos) เป็นสถาปนิกผู้ดำเนินการสร้าง   รูปปั้นนี้มีชื่อว่า โคลอสซัส หล่อขึ้นมาจากโลหะต่าง ๆ ที่เหลือจากการสงครามและที่ชาวแมซีเนียนทิ้งไว้ ชาเรสทำงานหนักตลอดเวลา 12 ปี ทุ่มเทให้กับรูปปั้นนี้ แต่มีเรื่องเล่าว่า  Chares ไม่สามารถอยู่ทันได้ดูงานของเขาเสร็จสมบูรณ์ ขณะที่เขาเกือบจะเสร็จงานชิ้นเอกนี้ ก็พบว่ามีการคำนวณสัดส่วนผิดไป  เขาผิดหวังมากถึงกับปลิดชีพตัวเอง แต่กระนั้นก็ไม่มีหลักฐานใดมายืนยันเรื่องเล่าเหล่านี้          รูปปั้นโคลอสซัสมีอายุสั้นที่สุดเพียว 56 ปีเท่านั้น แผ่นดินไหวเมื่อ 224 ปีก่อนศริสกาลทำให้รูปปั้นมหึมาพังทลายลงมาระเนระนาด ชิ้นส่วนต่าง ๆ ยังคงหลงเหลืออยู่ในต้นศตวรรษแรกเมื่อพวกอาหรับยึดครองเกาะโรดส์ในสมัย ศตวรรษที่ 7 รูปปั้นโคลอสซัสถูกขายต่อไปยังพ่อค้าชาวยิว การขนย้ายต้องใช้อูฐเป็นร้อยและวนเวียนถึงเก้าเที่ยว--------------------------------------------------------------------------------

ชื่อสถานที่   หอประภาคารโรส The Lighthouse of Alexandria (Pharos)

สถานที่ตั้ง   เกาะฟาโรส เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ปัจจุบัน     ไม่เหลือซาก           ประภาคารนี้ทำด้วยหินอ่อนสีขาวสลีกลวดลาย วิจิตรงดงาม ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน ท่าเรือของเกาะฟาโรส สร้างในสมัยพระเจ้าปโตเลมีที่สองของอียิปต์ช่วงปี 270 ปีก่อนคริสตกาล  ออกแบบโดยสถาปนิกชาวกรีกชื่อโซสตราโตส         ตามหลักฐานคาดว่าประภาคารนี้สูงถึง 440 ฟุต หรือ 134 เมตร ช่วงล่างเป็นรูปสี่เหลี่ยม ช่วงกลางเป็นรูปแปดเหลี่ยม และช่วงบนเป็นทรงกลม ยอดบนสุดกของประภาคารนี้ มีภาชนะสำหรับใส่ถ่าน ซึ่งลุกโชติช่วงทั้งวันทั้งคืนเพื่อเป็นไฟสัญญาณ    โดยที่ไฟบนยอดประภาคารนี้เห็นได้ไกลในทะเลเมดิเตอเรเนียนถึง 25 ไมล์ หรือ 40กิโลเมตร และช่วงบนมีกระจกขนาดใหญ่ ตามตำนานเล่าขานกันมา กระจกนี้สะท้อน เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล ข้ามไปจนถึงภาคตะวันออกของทะเลเมดิเตอเรเนียนทและเอเชียไมเนอร์ยังมีการเล่าต่อกันมาอีกว่ากระจกนี้ยังมอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชสำคัญสะท้อนแสงอาทิตย์ไปเผา เรือศัตรูในทะเล เพราะเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาเหล่านี้ ทำให้ประภาคารแห่งเมืองอเล็กซานเดรียนี้มีชื่อเสียง เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแม้ว่าไม่ใช่ประภารแห่งแรกในทะเลเมดิเตอเรเนียนแต่ก็เป็นอันที่ใหญ่ที่สุด ประภาคารนี้ได้ชื่อมาจากชื่อเกาะที่มันตั้งอยู่ คือฟาโรสและกลายมาเป็นชื่อเรียกประภาคารในภาษาต่าง ๆ          ประภาคารฟาโรสตั้งตระหง่านนำทางสัญจรของเรือเข้าสู่เมืองอเล็กซานเดรียมาเป็นเวลา 9000 ปี จนกระทั่งพวกอาหรับเข้ายึดครองเมือง ประภาคารก็ถูกรื้อทิ้งไป เล่ากันมาว่าพวกอาหรับถูกสายลับซึ่งจักรพรรดิ แห่งคอนสแตนติโนเปิ้ลส่งมาหลอกลวงให้ทำลายประภาคารเสีย เพื่อไม่ให้ใช้มันเป็นประโยชน์ในการเดินเรือของพวกมุสลิม สายลับอ้างว่าข้างใต้ประภาคารมีขุมทรัพย์ฝังอยู่ แต่หลังจากประภาคารถูกทำลายไปแล้วพวกอาหรับถึงตระหนักว่าเสียรู้ ในช่วงนั้นกระจกขนาดใหญ่ก็หล่นร่วงลงมาและแตกละเอียดเป็นผุยผง มีบางส่วนของประภาคารหลงเหลือ และส่วนนี้ก็ยังคงมีอยู่ให้เห็นจนปี ค.ศ. 1375   จนแผ่นดินไหวในเมืองอเล็กซานเดรียพังประภาคารชื่อดังก็ทลายลงจนสิ้นซาก 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น